
พระอาจารย์บุญเดชพำนักอยู่ภูวัวพอสมควร จึงได้วิเวกมาอยู่ภูลังกา จากนั้นจึงได้วิเวกไปทางจังหวัดเลย ได้พำนักในป่าเขาเป็นแหล่งบำเพ็ญสมณกิจตน ขณะบำเพ็ญสมาธิได้ทราบทางสมาธิได้พบเห็นพวกสาวๆ พากันมาเก็บดอกฝ้าย ร่างกายนุ่งแต่เพียงกางเกงในเท่านั้น ขณะนั้นพระอาจารย์ก็ทราบว่าโดนภูมิชาวบังบด(สาวลับแล)ลองภูมิ สติก็รู้เท่าทันจึงไม่ตามนิมิต ตกตอนดึกพระอาจารย์บุญเดชจึงนั่งพิจารณาลืมตาดู(เปิดจิต) “อ้า จะเป็นอย่างไรก็เป็น” ลืมตาขึ้นก็เห็นสาวชาวลับแลนุ่งแต่ชุดชั้นในตัวเดียวมายั่วยวนกามารมณ์ พระอาจารย์บุญเดชมีสติควบคุมจิตมิให้ออกไปข้างนอก จึงได้น้อมนำรูปธรรม ที่ได้พบมาพิจารณา จึงได้ทราบธรรมบทหนึ่ง แล้วกำหนดจิตถามผู้รู้(พระธรรม) “น้ำกระเพื่อมหรือจิตกระเพื่อม” ก็ได้ยินผู้รู้บอก “น้ำ” ถาม “คนหรือสัตว์” เสียงบอก “คน” พระอาจารย์บุญเดชพิจารณาได้ความว่า “อ้าว บัดสัตว์ช้างตัวเมีย ทำไมไม่เกิดราคะขึ้นมา ช้างก็เป็นสัตว์ จระเข้นั้นก็ตัวเมีย ทำไมเราจึงไม่มีจิตเกิดราคะกามคุณในตัวสัตว์” พิจารณารูปธรรมภาพนิมิตสาวชาวลับแลก็หายไป ขณะนั้นได้มีช้างสาวสวยอายุประมาณ ๔๐ ปี เดินอุ้ยอ้ายๆ เข้ามาพระอาจารย์เห็นช้างตัวเมียจึงได้ถามจิตของตน
“มันเป็นอะไร จิตตัวนี้จึงไม่เกิดราคะกับสัตว์ บัดใดจิตมันหลงสมมติ จิตเราหลงสมมติ ถ้าเราไม่หลงมันมันก็ไม่ได้โกหกเรา จิตเราก็ไม่ปรุงแต่ง จิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน จิตพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง จิตก็กระจ่างทราบชัดแจ้งประจักษ์ จิตก็ไม่เกิดความฟุ้งซ่าน”
จากนั้นจึงได้เดินทางวิเวกมุ่งสู่กลางป่าภูวัวเพียงลำพังรูปเดียวเพื่อบำเพ็ญสมาธิจิต พระอาจารย์บุญเดชได้ทราบทางสมาธิเห็นผู้คนแดนดินถิ่นลับแลพากันออกมารำเซิ้งคล้ายรำภูไทตั้งหวาย “โอ๊ย น้อ สาวภูไทเอ๊ย บ่าวภูไทเอย” ฟังเพลิดเพลินไพเราะเพราะพริ้ง พระอาจารย์บุญเดชก็นิ่งสมาธิฟังและนึกแปลกใจ “เอ เสียงใครหนอ” ในทุกวันพระอาจารย์จะได้ทราบนิมิตเช่นนี้เป็นประจำ
ต่อมาพระอาจารย์บุญเดชจึงได้สนใจในนิมิตเรื่องเมืองลับแลในเขตภูวัวจึงพิจารณาตามนิมิตได้ทราบเรื่องราวต่างๆ ในทางสมาธิจิต ได้ไปเยือนแดนลับแลศึกษาชีวิตความเป็นไปของผู้คนชาวเมืองลับแล พระอาจารย์บุญเดชได้เล่าให้ทราบถึงการที่ท่านได้ไปเยือนดินแดนลับแลให้ทราบว่า ไม่ได้ไปด้วยอภิญญาอภิญญาหรอก เดินไปนี้แหละมันอยู่ใกล้ภูมิเรา มันอยู่ใกล้ๆเรานิ่แหละแต่มันเป็นอีกนิมิตหนึ่ง ภูมิเดียวกันคนละภพ มูลเหตุที่ได้ไป ขณะนั้นเราอยู่รูปเดียวคิดอยากเห็น เขาก็มารับไป เป็นผู้ชายผิวพรรณเกลี้ยงเกลาผิดสังเกตตรงที่เวลาเขาเดินขาเขาไม่ติดพื้นหากเราตั้งใจดูขาเขาจะติดดิน ถ้าไม่ตั้งใจดูขาเขาจะไม่ติดดิน ก็เดินคุยกับพวกลับแล ไปเที่ยวไปเจอหมู่บ้าน ไปดูวัดเขาลงอุโบสถ ช่วงจะเข้าจากเมืองมนุษย์ไปเมืองลับแลเดินไปธรรมดา ไปเห็นเรือพวกลับแลเขาบอกว่า “จะไปเมืองหลวง” เราก็ไม่ทราบว่าพวกลับแลจะไปเมืองหลวงใด พวกเขาขนของขึ้นเรือ ซื้อถั่วซื้องากลิ่นคล้ายๆ กระเทียมเจียว จากนั้นก็ได้ไปเจอผู้คนเข้ามาทักทาย ๓ คน ผู้หญิง ๑ คน ผู้ชาย ๒ คน แล้วไปเห็นหนุ่มผู้หนึ่งเมื่อก่อนเป็นพระแล้วได้มาเมืองลับแล แล้วได้สึกมาเอาเมียในเมืองลับแล หนุ่มผู้นี้เมื่อหลายปีก่อนผ่านมาเป็นพระได้หายสาบสูญไปนานหลายปี จนพ่อแม่ครูบาอาจารย์คิดว่าล้มหายตายจากไปแล้ว บ้านเดิมอยู่อุบลราชธานี เพราะพระรูปนั้นหายไปในถ้ำ หายไปขณะเป็นพระแต่มีโอกาสวาสนาเดินทางไปเมืองลับแลแล้วไปพบรักกับหญิงสาวในเมืองลับแล จึงได้สึกแต่งงานกับสาวลับแล ในครั้งนั้นเราเองก็ได้ไปเจอกับหญิงสาวรูปงามเจอปั๊บจิตเราเกิดความรู้สึกรักใคร่ทันที พอดีมีหลวงพ่อเจ้าอาวาสในเมืองลับแลท่านได้ห้ามปรามเด็ดขาดไม่ให้รักชอบกัน ท่านหลวงพ่อเมืองลับแลบอกกับหญิงสาว ญาติหญิงสาว “ไม่ได้นะ นี่ลูก (ลูกศิษย์หลวงตามหาบัวนะ ) นี่ระวังนะพวกสูจะคอขาด” เข้าไปเมืองลับแลได้ไปร่วมอุโบสถกับพระในเมืองลับแล เข้าไปไม่มีความรู้สึกว่ามีกลางคืนเลยลักษณะคล้ายเราเข้าถ้ำไปแล้วออกมาจากรูถ้ำ เวลาเข้าเหมือนเข้าถ้ำแสงสว่าง แต่เข้าไปแล้วมันไม่ใช่ถ้ำ มันเป็นเมืองเขา (ลับแล) เราเดินเข้าไปก็เข้าสู่เมืองเขาเลยคล้ายเดินผ่านเข้าประตูโบสถ์ เวลาออกมาถึงกุฏิก็รู้เลยเดินชมไปได้ ๓ วัน ๓ คืน เขาก็พามาส่งกุฏิหลังหนึ่งที่พักขณะอยู่ภูวัว “นี่เด้อกุฏินะ” พอรู้สึกตัวก็เป็นกุฏิที่พำนักอยู่พอดี ชาวเมืองลับแลแตกต่างจากชาวเมืองมนุษย์ที่เห็นได้ชัดคือกริยา วาจา ความอ่อนน้อมเคารพต่อพระศาสนาของผู้คนเมืองลับแล
อย่างเวลาเราเดินไปนี่พวกเขาอยู่ไกลๆ เห็นเราเขาก็จะนั่งพนมมือเป็นแถวเขาจะเรียกพระว่า “ญาคูเจ้า” ภาษาเราพระมีชื่อเสียงมาเขาจะออกมาต้อนรับจำนวนมาก มีเด็กเล็กเด็กน้อยในเมืองลับแล มีมหาวิทยาลัยใหญ่โตมาก ตอนนั่งภาวนาไปดูมหาวิทยาลัยปรากฏว่าเป็นก้อนหิน เดินดูก็จำไว้ในจุดที่ผ่านไปจะไปอย่างนั้นไหม? ดูภายหลังเห็นเป็นก้อนหินก้อนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านแทนมหาวิทยาลัย เราจำได้ตั้งอยู่ตรงนั้น มีครูบาอาจารย์ นักศึกษาเล่าเรียน ผู้คนในเมืองลับแลพูดกันไพเราะ ไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการด่ากัน ไม่มีรถยนต์เวลาจะเดินทางไปไหนเขาจะเดินเอา เราเดินไปเห็นทุ่งนาเลยถามเขาดู เขาบอกว่า “ไม่ได้ปลูกนะ มันเกิดขึ้นเอง มีแต่ไปเก็บเอาเลย ใครอยากกินอะไรก็ไปเอาอันนั้นมากินเลย” เขาก็มีการกินข้าวเหมือนเมืองมนุษย์ พระอาจารย์บุญเดชได้นั่งภาวนาดูจำได้ว่าบริเวณก้อนหินที่ภาวนาไปเห็นเป็นวัดแน่นอน ได้ยินเสียงสวดมนต์ เป็นวัดใหญ่คล้ายโบสถ์ ข้างในโบสถ์เปิดโล่งไม่มีเสา เสาอยู่นอกๆมหาวิทยาลัย ไปเดินดูใหม่คิดว่าบริเวณนี้เป็นมหาวิทยาลัยของเขา แต่คราวนี้(ภาวนาเห็น) เป็นภูก้อนหิน พระอาจารย์ได้เล่าประสบการณ์ที่ได้ไปเยือนดินแดนลับแลด้วยกายเนื้อเป็นเวลา ๓ วันว่า “เมืองลับแลก็มีโรงพยาบาล ไปก็เจอแต่พวกหมอสวยๆ งามๆ เราไปก็ไปเจอสาวถูกใจ เราชอบเขา หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดลับแลดุ คู่บารมีเป็นลูกสาวคนที่พาเราไปเที่ยวเมืองลับแล เราถามเขาว่า “อายุเท่าใดแล้ว” “ อายุได้ ๗๐๐ ปีแล้ว ” คู่บารมีบอก เป็นสาวหน้าตาดูไม่แก่ หากเทียบกับทางโลกก็เหมือนเด็กสาวอายุ ๑๕-๑๖ ปี ส่วนคนใหญ่(สาว) ไปถามเขาบอกว่าอายุพันปี ถ้าเป็นเมืองมนุษย์ก็ไม่ทราบว่าจะเท่าใด จะเข้าไปได้ เขา(ชาวลับแล)ต้องอนุญาตก่อน เราถามด้วยปาก ชาวลับแลพวกพ่อแม่ก็รู้ความคิดอาจารย์ ยายคนหนึ่งอายุ ๓,๐๐๐ ปี รู้จักความคิดเรายายมีศีล เราถาม “โยมอายุเท่าใดแล้ว” เขาบอก “สามพันปีเจ้าค่ะ” ด้วยอานิสงค์ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ หลวงพ่อเมืองลับแลมีรูปร่างลักษณะคล้ายท่านเจ้าคุณนร เราไปวัดครั้งแรกเจอหลวงพ่อกำลังเขียนหนังสืออยู่พระเณรก็แต่งกายเรียบร้อย ขณะนั้นเป็นกาลลงอุโบสถของทางวัดในเมืองลับแล จริงๆเราคิดว่า “เราจะมีที่หรือเปล่าหนอ” เราได้ยินเสียงฆ้อง หงึ่ง หงึ่ง ไปยืนดูอยู่พอเสียงฆ้องเขาก็จะพามานั่งลงหมด เสียงฆ้องดังไพเราะมาก มียายผู้หนึ่งบอกเรื่องต่างๆให้ทราบ “มีอยู่นะอาจารย์ท่านหนึ่งมาเมืองนี้แล้วไม่ได้ออกไป แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแล” เขาบอก “ผมมาอยู่นี่ได้สิบกว่าปีแล้ว หากเทียบกับเมืองมนุษย์ได้เพียง ๑๐ วัน ผมมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ได้ทำการลาสึกขาในเมืองลับแลบาตรก็ยังอยู่ ช่วงนั้นเรา (พระอาจารย์บุญเดช) อยู่ในช่วงติดสุขนั่งสมาธิได้ทั้งคืนเพราะไม่มีเวทนา”
ส่วนทางหลวงพ่อเจ้าวัดเมืองลับแลได้บอกพ่อแม่ของหญิงสาว “อย่าไปซี้ซั้วนะ ห้ามไม่ให้รักกัน ถึงเวลาแล้วให้รีบกลับ ไม่ให้อยู่เกิน ๓ วัน” พ่อแม่หญิงสาวถามเรา “โอ ญาคูเจ้าเอ๋ยมาอย่างนี้เป็นอย่างไรหนอ” เราบอกว่า “มาอย่างนี้ก็งามแล้ว งามหมดทุกอย่าง คนก็งาม อะไรก็งาม” พ่อแม่หญิงสาวจึงหันมามองหน้าหญิงสาว เพราะพวกเรารับรู้ถึงความรู้สึกความคิดเราตลอด อยากได้อยากเห็นสงสัยอะไรเขาก็จะบอกจะพาไปดูไปชม พ่อแม่ทางหญิงสาวภาวนามานาน จะรับรู้วาระจิตได้ พ่อแม่หญิงสาวเตือนเรา “ญาคูเจ้าเอย บำเพ็ญบารมีมาหลายชาติแล้วนะ อย่าคิดเถอะ” พ่อแม่หญิงสาวรู้วาระจิตเราว่าแอบชอบลูกสาวเขาเช่นกัน นิ้วมือของพวกเขาจะบวมนูน ผิวเนียน เราสังเกตรูปกายเราขณะอยู่ในเมืองลับแลจะมีผิวเนียน คราวนั้นภายหลังจากลงอุโบสถแล้ว ในเมืองลับแลเราได้รับถวายน้ำปานะด้วย ตอนไปรู้สึกเหมือนกายเนื้อออกมาก็เหมือนตัวเนื้อ ภายหลังได้รับพิจารณาจำได้ว่าสถานที่นั้นๆ(หมู่บ้าน) คือ ป่าดงดิบ ป่ายูง ป่ายาง มหาวิทยาลัยเป็นภูเขาก้อนหินขนาดใหญ่ พอออกมาจากเมืองลับแลก็มาลงอุโบสถกับหลวงพ่ออุทัย รู้สึกว่าท่านดุเหลือเกิน วันนั้นติดสุขอยากเห็นอะไรก็ได้เห็นหมดยังไม่ได้พิจารณาในเรื่องกามคุณเลยในขณะที่ไปเจอสาวลับแล