ในคราวที่ไปปฏิบัติฝึกฝนอบรมจิต ณ เขตจังหวัดเลย ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ช่วงนั้นเดินสติอยู่กับการทำความเพียร จิตอยู่ในจิต กายอยู่ในกาย ระวังมิให้จิตส่งออกไปตามอารมณ์ข้างนอกที่เข้ามากระทบจิตอันจะทำให้จิตขุ่นมัว การที่บุคคล พระภิกษุสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จะเดินสู่หนทางแห่งผลจุดหมายก็คือ แดนพระนิพพานจำต้องเดินจิตอยู่ในสายมรรคธรรมตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เส้นทางมรรคได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ ๔
๒. สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ คือ ดำริจะออกจากกาม ๑ ดำริในอันไม่พยาบาท ๑ ดำริอันไม่เบียดเบียน ๑
๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ คือ เว้นจากวลีทุจริต ๔ ประกอบด้วย พูดเท็จ ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคำหยาบ ๑ พูดเพ้อเจ้อ ๑
๔. สัมมากัมมันโต ทำการงานชอบ คือ เว้นจากกายทุจริต ๓ ประกอบด้วย ฆ่าสัตว์ ๑ ลักฉ้อ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑
๕. สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ คือ เว้นจากความเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด
๖. สัมมาวายาโม เพียรชอบ คือ เพียรในที่ ๔ สถาน อันได้แก่ สัมมัปปธาน ๔ คือ
๖.๑ สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน
๖.๒ ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
๖.๓ ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน
๖.๔ อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม
๗ . สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่
๗.๑ กายานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ ว่ากายนี้สักว่ากายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
๗.๒ เวทนานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาเวทนา คือสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
๗.๓ จิตตานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
๗.๔ ธัมมานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาธรรม ที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ คือ เจริญญานทั้ง ๔
ในองค์มรรคทั้ง ๘ นั้น เห็นชอบ ดำริชอบ สงเคราะห์เข้าใน ปัญญาสิกขา วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าใน สีลสิกขา เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ สงเคราะห์เข้าใน จิตตสิกขา
หนทางนี้นี่เอง คือหนทางแห่งการเดินจิตสู่แดนผล คือพระนิพพาน ฤทธิ์เดชอภิญญา เหาะเหินเดินอากาศนั้นด้วยอำนาจสมาธิ อำนาจบุญบารมีที่สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติ และการเพียรอุกฤษฎ์ในชาติปัจจุบันเป็นด้วยอำนาจบุญญฤทธิ์ สิ่งเหล่านี้จะต้องเพียรสั่งสมอบรมจิตสม่ำเสมอ มิใช่เพียรชาติหรือสองชาติ ต้องสร้างบารมีนับสิบๆ ชาติเป็นอย่างต่ำ ในสมัยพุทธกาลหรือสมัยปัจจุบันก็มีตัวอย่างปรากฏให้เห็นแต่ไม่ปรากฏในที่สาธารณะเพราะมีข้อห้ามไม่ให้แสดงฤทธิ์ มีบ้างที่แสดงในหมู่ลูกศิษย์ไม่กี่คน จึงทำให้ดูเหมือนว่าฤทธิ์จากพลังกสิณเหล่านี้ได้สิ้นไปไม่มีใครทำได้
จริงอยู่การได้กสิณแสดงฤทธิ์นั้นไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆนัก แต่ก็มีผู้มีบารมีสามารถทำได้ เพียงแต่เราไมได้เข้าไปอยู่ในวงการใกล้ชิด จึงไม่ได้รู้ได้เห็นแค่นั้นเอง เรื่องพลังกสิณนี้ หลวงพ่อฤาษี แห่งวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) อ.เมือง จ.อุทัยธานี (มรณภาพแล้ว) ได้เล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา แต่จะยกเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกสิณดินคือ “ตามธรรมคนไข้ มีร่างกายไม่แข็งแรง ดินมันจะแข็ง ของอ่อนต้องทำให้แข็ง ร่างกายอ่อนแอต้องทำให้เข้มแข้งขึ้น เพราะฉะนั้นต้องใช้กสิณช่วย ถ้าหนาวใช้พลังกสิณไฟ ถ้าจะให้ว่องไวต้องใช้กสิณลม”
อีกตอนหนึ่งที่หลวงพ่อสุ่นได้สั่งให้หลวงพ่อปาน “ฝึกทำของอ่อนให้เป็นของแข็ง โดยเอาน้ำใส่ขันแล้วใช้พลังกสิณดินอธิษฐานน้ำในขันให้เป็นน้ำแข็ง เอานิ้วจิ้มไปมันก็แข็งได้ เวลาจะข้ามฟากไม่มีเรือก็ใช้พลังกสิณดินอธิษฐาน ให้น้ำในคลองในแม่น้ำตรงที่จะเดินให้แข็ง เท่านี้ก็สามารถเดินข้ามได้อย่างสบาย ” แม้แต่อากาศก็ทำให้แข็งโดยใช้พลังกสิณดินได้ โดยอธิษฐานให้อากาศตามจุดเท้าเหยียบจงแข็งเหมือนดินก็สามารถเดินในอากาศได้เหมือนเดินบนดิน เป็นการเดินอย่างช้าๆ แต่ถ้าต้องการไปเร็วเหมือนเหาะก็ใช้พลังกสิณลม แต่ถ้าฝึกจริงๆคนที่มีบารมีคงไม่มีปัญหา แต่คนมีบารมีอ่อนนี่ทำได้ยากและคงพาลไม่เชื่อ ซึ่งอาจจะเลยเถิดไปถึงว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในโลก โดยวัดจากกำลังตนว่าเป็นคนเก่งที่สุด เมื่อตนเองทำไม่ได้แล้วคนอื่นย่อมทำไม่ได้ มีข้อเขียนจากหนังสือทิพย์อำนาจของอดีต พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ได้เขียนทำนองเดียวกันว่า ปาฏิหาริย์การไต่น้ำ ได้แก่ การอธิษฐานน้ำให้เป็นแผ่นดิน แล้วเดินไปบนน้ำ เหมือนบนแผ่นดินโดยใช้พลังอำนาจกสิณดินเป็นเครื่องนำทำใจให้สงบจนเป็นฌานแล้วอธิษฐานจิต “น้ำนี้จงกลายเป็นแผ่นดิน” ปาฏิหาริย์เหินฟ้า ได้แก่ การอธิษฐานอากาศให้เป็นแผ่นดินแล้วนั่งขัดสมาธิในอากาศได้ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอนสามารถทำให้เหมือนเดินบนแผ่นดิน ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงปาฏิหาริย์เหินฟ้าคู่กับการเนรมิตพระองค์ขึ้นหลากหลาย บ้างทรงแสดงธรรม บ้างทรงเดินจงกรม บ้างนั่งสมาธิ บ้างทรงบรรทมในอากาศกลางหาวนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นได้มีการบันทึกไว้ว่า พระโมคคัลลาน์ ได้ไปบิณฑบาตกับพระอีกรูปหนึ่งชื่อ พระปิณโฑภารทวาชะ และได้ยินคำสบประมาทของเศรษฐีคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่ามีพระอรหันต์ในโลกนี้ (เหมือนกับคนในยุคปัจจุบันบางกลุ่ม) โดยบอกว่าถ้ามีพระอรหันต์จริง ก็ขอให้เหาะไปเอาบาตรไม้แก่นจันทร์ที่แขวนอยู่ในอากาศ ตัวเขาพร้อมบุตรภรรยาจะยอมเคารพนับถือสักการบูชาตลอดชีวิต แต่ถ้าพ้นเจ็ดวันแล้ว เขาจะไม่เชื่อใครอีกที่มาอ้างตนเป็นพระอรหันต์ วันนั้นนับเป็นวันที่ ๗ ทั้งสองท่านก็ปรึกษาหารือเพื่อไม่ให้เขาลบหลู่ดูหมิ่น จึงตกลงให้พระปิณโฑภารทวาชะเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์ โดยครั้งแรกใช้ไม้เท้าไปคีบแผ่นหินใหญ่ แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศสูงหลายสิบเมตร จากนั้นก็เหาะรอบเมือง ๗ รอบ ครั้นปล่อยหินใหญ่ไว้ที่เดิมแล้วก็ลอยไปเอาบาตรแก่นจันทร์ ทำให้เศรษฐี บุตร ภรรยา พร้อมผู้คนทั้งหลายพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่เรื่องไม่หยุดเพียงเท่านี้ ฝูงคนก็พยายามติดตามให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ อีกหลายครั้ง พระพุทธองค์จึงทรงห้ามแสดงปาฏิหาริย์พร่ำเพรื่อและสั่งให้ทุบบาตรแก่นจันทร์อันเป็นต้นเหตุเสีย อิทธิปาฏิหาริย์เหินฟ้านี้นอกจากจะใช้พลังกสิณดินแล้ว ยังสามารถอธิษฐานจิตให้กายเบาเหมือนสำลี (หลังจากเข้าฌาน ๔) แล้วลอยไปในอากาศหรือไปตามลมได้ ที่ยกตัวอย่างมาเล่าให้ทราบว่ามีการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ
ถ้าจะพิสูจน์ก็ได้ วิธีพิสูจน์ก็หลักการง่ายๆ แต่ต้องมีจิตใจแนวแน่นเข้มแข็ง คนอ่อนปวกเปียกโลเลคงพิสูจน์ได้ยาก ให้หาดินที่มีสีแดงปนเหลืองคล้ายสีดวงอาทิตย์ยามเช้ามาขยำให้เหนียวดีแล้วแผ่ลงบนกระดาษแข็งวงกลมขนาดประมาณ ๑๒-๑๖ นิ้ว ขัดให้เกลี้ยงเกลาเงา อย่าให้มีเศษหญ้า เศษขยะ เศษก้อนหิน แล้วนำมาตั้งไว้ตรงหน้าห่างพอประมาณขนาดมองดูแล้วไม่ต้องก้มหน้ามากจะทำให้เมื่อยคอ เมื่อพร้อมแล้วทำใจให้สบายๆ วางธุระอื่นให้หมด อย่าได้กังวลใจ ตั้งใจไว้เลยว่าตลอดวันนี้จะไม่ยุ่งกับสิ่งใด ขอเพ่งดินให้เกิดนิมิตติดตาให้จงได้ ลืมตาเพ่งวงกลมดินหรือกสิณดินพร้อมกับจดจำดวงกสิณดินและภาวนาว่า “ปฐวีกสิณังๆ” ไปเรื่อยๆ ทั้งวันจนกว่าจดจำดวงกสิณดินนั้นได้ วิธีตรวจสอบว่าจำได้หรือไม่ได้โดยหลับตาลง ถ้ายังคงเห็นดวงกสิณดินอยู่ก็เรียกว่าใช้ได้ ไม่ว่าจะเดิน นั่ง ไปตรงไหน เมื่อต้องการจะเห็นดวงกสิณดินให้นึกขึ้น ถ้าดวงกสิณปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนก็เรียกว่าสำเร็จแล้ว แล้วอธิษฐานจิตให้ดวงกสิณนั้นใหญ่ขึ้นหรือลดลง ในระดับนี้จะนึกภาพเห็นได้อย่างใสแจ๋ว เมื่อต้องการจะแสดงฤทธิ์ก็อธิษฐานจิตจะสมหวังดั่งใจ ถ้ามีความโกรธ โลภ กสิณดินนี้จะเสื่อมลงทันที ถ้าจิตสงบทำใจได้ก็สามารถเรียกกสิณดินได้เพราะเคยฝึกมาแล้ว
การฝึกอบรมจิตสู่ทางสัมมาสมาธิในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน โดยมีสติกำกับรู้อยู่กับจิต เพียรฝึกภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน จิตจดจ่ออยู่ในองค์ภาวนา “พุทโธๆ” (พุทธานุสสติ) ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดอานิสงค์คือ เพิ่มพูนศรัทธา เพิ่มพูนสติ เพิ่มพูนความปิติ เพิ่มพูนความเคารพ เพิ่มพูนกุศลธรรม เพิ่มพูนปัญญา สามารถอดทนต่อความยากลำบาก ไม่ขลาดกลัว อดทนต่อความอดสูในความชั่วที่มีอยู่ มีฐานะแห่งการใกล้พระบรมครู เสวยกิจกรรมอันเป็นของพุทธภูมิ อยู่สุขสบาย เข้าถึงธรรมยิ่งยอด
พระอาจารย์บุญเดชเดินจงกรมภาวนาก็เกิดอัศจรรย์ใจในจิต มีความรู้สึกว่าแผ่นดินสะเทือนไหว ขณะที่ร่างกายเองก็รู้สึกตัวว่าร่างกายค่อยๆ เริ่มลอยสูงขึ้นๆ จากพื้นดินเหนือปลายต้นไม้ใหญ่ (ต้นยูง ต้นยาง) ณ วัดป่าบ้านดง จ.เลย ขณะนั้นมีสามเณรรูปหนึ่งได้มองขึ้นไปบนอากาศมองไปที่ปลายยอดไม้ใหญ่ก็เห็นผิดสังเกตเป็นดวงไฟสว่าง ก็คิดว่าเป็นแสงสว่างของลูกแก้วเหาะลอยมาให้ชมเด่นบนอากาศ สามเณรรูปนั้นก็ออกตามหาพระอาจารย์บุญเดช “อาจารย์ไปไหน” มองหาตามกุฏิสถานที่ต่างๆ ก็ไม่พบ ขณะนั้นร่างกายของพระอาจารย์บุญเดชภายในจิตใจภาวนาพุทโธๆ เดินจงกรมกลับไปกลับมาอยู่บนอากาศ สติประคองจิตไม่ให้วิตก สติรักษาจิตไว้ในกายรับทราบเหตุการณ์ข้างนอก จิตก็มีสติรู้ รู้สึกร่างกายเบาสบายปลอดโปร่งไม่เมื่อยล้า คล้ายเดินอยู่บนพื้นสำลี เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจึงกำหนดจิตค่อยๆ พยุงกาย ลงสู่พื้นดิน ภายหลังพระอาจารย์เล่าว่า “ลักษณะเดินในทางจงกรมคล้ายเครื่องบินจะขึ้นมันจะต้องมีจุดหนึ่งที่มันจะเกิดฟิ้วไป คล้ายเราเป็นมอเตอร์ไซค์เหาะ” รู้สึกว่ายอดไม้ใหญ่อยู่ข้างล่างเราไปยืนอยู่บนยอดภู (ภูเขา) มองลงมาเป็นทิวทัศน์ข้างล่าง