พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช กำเนิดในสกุล “ภาโนมัย” เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ (มีวันคล้ายวันเกิดเพียงครั้งเดียวในช่วง ๔ ปี)
ท่านเกิดเวลาเที่ยงคืน วันอังคาร ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะโรง
โยมบิดาชื่อ นายทอง ภาโนมัย
โยมมารดาชื่อ นางทองสุข ภาโนมัย
มียายชื่อ กอง ท่านเป็นบุตรคนโต มีน้อง ๒ คน ตามลำดับ ดังนี้
๑. พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช
๒. พระไพบูลย์ วาระธัมโม
๓. นางละไม ภาโนมัย (สกุลเดิม ปัจจุบันแต่งงานแล้วอยู่ต่างประเทศ)
พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช เกิด ณ บ้านน้ำเที่ยง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในตระกูลของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกพืชต่างๆ ทำนา ทำสวน เลี้ยงเป็ด ไก่ วัว ควาย โดยยึดการทำนาเป็นอาชีพหลักเหมือนๆ กับผู้อื่นในละแวกบ้านนั้น
ความที่ท่านเป็นบุตรคนแรกของครอบครัว จึงเป็นที่รักใคร่ ชื่นชมยินดีของบิดา มารดา และพวกญาติๆ ท่านได้รับความอบอุ่น ความรัก ความเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดทั้งจากบิดา มารดา และคุณยายกอง ผู้คอยอบรมดูแลมาจนท่านเติบใหญ่
ปัจจุบัน พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ณ วัดถ้ำแสงธรรม (ภูลังกา) จังหวัดบึงกาฬ
แผนที่เดินทางไป วัดถ้ำแสงธรรม (ภูลังกา)
ทารกผู้มีพญางูกำบังแดด
ในช่วงฤดูทำนา ทุกคนในครอบครัวจะออกไปทำนาตั้งแต่เช้าจนค่ำ มีการสร้างหรือจัดทำกระต๊อบไว้ใกล้ๆ แปลงนาสำหรับเป็นที่รับประทานอาหาร และใช้พัก ผ่อนยามพักงาน มีวิทยุทรานซิสเตอร์สำหรับฟังเพลง ละครวิทยุ เพื่อความเพลิดเพลินในขณะทำงาน ตามปกติเมื่อนายทอง นางทองสุข ยายกองและญาติๆ ออกไปทำนา ก็จะหอบลูกน้อยไปด้วย โดยให้พักนอนที่กระต๊อบ
เมื่อพระอาจารย์บุญเดชยังเป็นทารกแบเบาะอยู่ ก็ต้องออกไปนาพร้อมมารดาหลังจากกินนมแล้วก็นอนในอู่ (เปล) ที่กระต๊อบตามลำพัง วันหนึ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น วันนันหลังจากพวกผู้ใหญ่ต่างก็ไปทำงานในนาแล้ว พอสายเข้าแสงแดดก็จ้าจัดขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดที่แผดจ้านั้นได้สองลอดลงมากระทบที่เปลนอนของทารก (เด็กชายบุญเดช ภาโนมัย) ทำให้รู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่ก็รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ แสงจ้าของดวงอาทิตย์พลันดับลง โดยมีเงาทึบมาแทนที่บังแสงแดดไว้ เป็นเงาปกคลุมทั่วทั้งร่าง มีความรู้สึกเย็นวาบทั้งตัว มองออกไปก็ไม่สามารถเห็นสิ่งภายนอก ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนถูกบังคับ คล้ายต้องมนต์สะกดให้เคลิบเคลิ้ม ในความรู้สึกตัวรางๆ นั้นเหมือนตัวเองนอนอยู่ในปราสาทราชวัง แต่ความรู้สึกดังกล่าวนี้ก็หายวับไปเมื่อได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายของพวกผู้ใหญ่ที่กลับเข้ามาในเพิงพัก เป็นเสียงร้องที่ร้องด้วยความตกใจกลัว เพราะเห็นงูตัวใหญ่ยาวพาดลำตัวไปตามคานเหนือเปลที่เด็กชาย บุญเดชนอนอยู่ ส่วนน้าสาวเห็นดังนั้นถึงกับช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง วิทยุที่ถืออยู่ในมือก็หลุดร่วงลงไปที่พื้น ฝ่ายยายก็ตกใจเป็นลม หมดสติทรุดลงกับพื้น เพราะคิดว่างูใหญ่ได้กลื่นกินหลานรักเข้าไปแล้ว
สักพักหนึ่งงูใหญ่นั้นก็ค่อยๆ เลื้อยลงจากคาน แล้วเลื้อยหายเข้าไปในป่าใกล้ๆ แถวนั้น เด็กชายบุญเดชก็ถูกแสงแดดจ้าลอดลงมากระทบร่างดังเดิม
ระลึกอดีตชาติ : ถูกถ่วงน้ำ
ในการเทศน์ของพระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช ที่วัดพุทธาราม อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ในคืนวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ มีเนื้อความตอนหนึ่งท่านเล่าว่า
“อาตมาแปลกกว่าเพื่อน เกิดมา ๒ ขวบครึ่งพูดได้ พอพูดได้ปั๊บแม่บอกว่า นี่พ่อ นี่แม่ นั่นตา นี่ยาย นี่น้า นี่อา เราคิดในใจจะเป็นพ่อได้อย่างไรว้า ก็มันเป็นเพื่อนกับกูก็เรียกแก ขอโทษนะ ไอ้ทอง เพราะพ่อชื่อมหาทอง ประโยค ๗ นะโยมพ่ออาตมา ทำไม ถึงเรียกอย่างนั้น จำได้นี่มันจำได้ชัดเจนมาก มันเหมือนเหตุการณ์ผ่านมาเมื่อ ๒-๓ วันนี้คือก่อนจะลงมาเกิดนี่ กับก่อนจะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เคยเป็นทหารเป็นนักรบด้วยกันแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เป็นนักรบถือดาบเคยสาบานกันไว้ เพราะทหารก่อนจะออกรบนี่มีการสาบานกัน แล้วก็ตาย พอตายปั๊บก็ไปเกิดบนสวรรค์ ด้วยจิตจงรักภักดีก็คงจะได้บุญบ้าง คือต่างคนก็ไปอยู่บนสวรรค์มันสบายเด้อ พออยู่สวรรค์จะลงมาเกิดอีก ก็สัญญากันอีกว่า ถ้าใครลงไปก่อนก็จะตามไปเกิดด้วย ถ้าคนนึ่งมาก่อน อีกคนก็จะมาเกิดเป็นลูก พอดีแกลงมาก่อน เราเผลอแป๊บเดียวแกหายไปไหน อ้าวทีนี้ก็หา ไปเจอคนคนหนึ่งบอกว่าลงไปเกิดแล้ว เอ้าถ้าลงไปก็ลงไปด้วยสิ ถ้าช้าเดี๋ยวจะไม่ทันแก คือจำได้ขนาดนั้น จำได้ตั้งแต่จำความได้ทีนี้ก็ตามลงมาเกิด
ตอนอยู่ในท้องของโยมแม่ก็มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อชารูปหนึ่งท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านชื่อหลวงพ่อจำลอง ท่านเคยธุดงค์กับหลวงพ่อชา แต่คงจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เป็น ลูกศิษย์หลวงปู่ทองรัตน์ ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดป่า โยมแม่ก็ท้องใหญ่ ก็ไปกราบท่าน ไปทำบุญกับท่าน ท่านก็ ยะถาวาริวะหา ทุกวันๆ เราจำได้ ได้ยินเสียงเราจำได้ โอ้เมื่อไรกูจะได้ออกมายะถาซักทีวะ พอยะถาแล้วก็ห้อมหอม กับข้าวมันเยอะแยะเลย มันหอมแต่ก็ไม่ได้กินซักที มีความรู้สึกว่าหิว แล้วก็มีความรู้สึกว่าอึดอัดว่าเมื่อไรจะได้ออกไปเสียที ไอ้ความจำตรงนั้นน่ะมันรู้ ตัวรู้ตรงนั้นน่ะมันมีอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นยะถาสัพพี อาตมา ๓ ขวบจำได้หมดแล้ว ไม่ได้ท่องสักคำก็จำได้แล้ว เพราะบทสวดนี้พระชอบสวด สวดเสร็จก็ได้ฉันทันที
ทีนี้พอเรียกเพื่อน วันที่หนึ่ง วันที่สอง วันที่สามเกิดเรื่อง มีการไปปรึกษาหมอพราหมณ์ เขาเรียกว่า พราหมณ์กะจ้ำ ในหมู่บ้านคนอีสานเรียกกะจ้ำ เขาว่าโอ้คน อัปรีย์จัญไรแบบนี้บได้ต้องทำให้มันลืมต้องทำให้มันเรียกพ่อ โอ้หาว่าเราเป็นคนอัปรีย์จัญไร
แต่เราก็ไม่รู้ วันนั้นเป็นวันพระ ประมาณกลางเดือนเจ็ด น้ำกำลังมากเลย ธรรมดามันแล้งในปีนั้นตอนอาตมา ๓ ขวบ น้ำมาก มากจริงๆ เขาบอกว่าวิธีการทำง่ายๆ ก็คือ ทำเป็นแพโดยเอาต้นกล้วยมาต่อๆ กัน แล้วก็เอาธงปัก ทิศ เอาข้าวดำ ข้าวแดง ข้าวเหลืองข้าวอะไรก็ว่าไปเรื่องของเขา แล้วก็เอาไปหมุน ไปจับหมุนๆ ถามว่าพ่อยอมมั้ยแม่ยอมมั้ย ญาติพี่น้องยอมมั้ย เขาก็บอกว่ายอมหมด ทีนี้เขาถามว่าจำได้แล้วหรือ ยังว่านี่ใคร ไอ้ทอง จำคนนี้ได้ไหม เขาชี้ที่แม่ เฮ้ยนี่มันเพื่อนกัน ก็เรียกว่า อี เรียกแม่นั่นน่ะเขาบอกมีวิธีสุดท้าย พอตกกลางคืนประมาณทุ่มหนึ่งเขาก็พาไปแม่น้ำชี พอไปถึงเขาก็ทำพิธีสวดอะไรเรียบร้อยแล้วตามภาษาพราหมณ์ เสร็จแล้วเขาเข้ามาจับ ๔ คนหามหมุนๆๆ จนแม่นี่ทนไม่ไหวเดินขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้ โยมพ่อนี่เฉย มันไม่เฉยได้อย่างไร ก็เมาเหล้าแล้วนี่ เรานี่เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ชีวิตครั้งนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้หนอ ในระหว่างที่หมุนปี๊บเขาก็หยุด แล้วเขาก็ถามอีกว่านี่จำได้มั้ยพ่อ เรียกพ่อมั้ยนี่พ่อใช่มั้ยไม่ใช่ไอ้เาก็โง่ที่จริงเราน่าจะหลอกเขาน่ะ เออพ่อก็พ่อ จะได้ไม่ต้องโดนถ่วงน้ำ ปัญญา มันไม่ทัน เขาเลยหมุนต่อ หมุนเสร็จแล้วเขาก็ปล่อยลงไปตามแม่น้ำชี แต่ก่อนเขาจะปล่อยเขาเอาคนไปดัก เป็นช่วงๆ ไป ประมาณสัก ๓-๔ กิโล แล้วมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง เขาคิด ว่าจะไปติดไม้ที่เขาดักเอาไว้แน่นอน ความคิดของเขาน่ะ
ทีนี้เกิดความอัศจรรย์ โอ้โหมันได้ยินคำเขาพูดน่ะ ว่าเป็นคนอัปรีย์จัญไร ว่าได้อย่างไร เอ๊ะเราเป็นมนุษย์นี่ เกิดมาเป็นมนุษย์แท้ๆ พูดคำเช่นว่าจำเพื่อนตัวเองได้แท้ๆเออเราเคยทำบุญด้วย ทีนี้เราเคยทำบุญกับพระมาเป็นพันๆ โอ้ บุญบารมีเราไปอยู่ที่ไหน ที่เราสร้างบุญมามันไปอยู่ไหนหมดนี่ โอ้ยแม่ แม่ไม่สงสารเราเหรอ จะปล่อยเราฝนก็มืดมาๆ ทั้งๆ ที่ฟ้าสว่าง มืดมา ลมมาแรงมาก บี้มบั้มๆๆ มาคล้ายกับคลื่นสึนามิน่ะ ทีนี้มันไม่ไหลค่อยแล้ว ทีนี้โคมที่เขาเอามาจุดได้ตามแม่น้ำซีดับหมด เพราะฝนมันตกอย่างแรง โอ้อัศจรรย์อย่างยิ่ง เราจะทำอย่างไรดีหนอ ตายแน่ๆ หยุดมาคิดแป็บนึงว่า เออ ช่างมันเถิดน่ะในเมื่อเกิดมาชาตินี้แล้ว จำได้ว่าอยู่บนสวรรค์มีแต่คนสวยๆ ถ้าขี้เหร่อย่างเมืองนี้ ไม่น่าอยู่หรอก จำได้ว่าอยู่สวรรค์มีแต่คนสวยๆ เราไม่ได้สร้างกรรมอะไร นี่หว่า ไปมั้ย สมมติว่าตายปั๊บ กลับไปอยู่ที่เดิมดีกว่า คือญาติพี่น้องอยู่บนสวรรค์มีแต่คนสวยๆ งามๆ เด้อ หน้าตานี่เหมือนกันไปหมดเลย เหมือนลูกแม่เดียวกัน ลูกแม่เดียวกันก็ยังไม่เท่าอยู่ในแดนสวรรค์ที่ก่อนจะลงมาเกิด ทีนี้ก็จิตคิดไปแค่นั้น เอาเถอะ ถ้าไม่ถึงคราวตายคงไม่ตาย ฝนก็ลงหนักเม็ดใหญ่ พอดีเขาเรียกน้ำวน เคยเห็นมั้ย
คนอีสานเขาเรียกน้ำหมุนตาไก่ ปุดๆๆ เอ้าๆ พอฟ้าแลบพรีบๆ โอ้ยมันไม่มีใครดึงเราเลยจะร้องเรียกใครก็ไม่ได้ แต่มีจุดอันหนึ่งที่สลดสังเวชใจอย่างยิ่ง โอ้โห นี่แค่คำพูดแค่นี้เขาหาว่าเป็นคนอัปรีย์จัญไร แม่ไม่รักเราหรือ พ่อไม่รักเราหรือ ทำไมเราโง่ไม่เรียกเขาว่า พ่อ มันเรียกได้อย่างไง มันจำกันได้อยู่ คนมันเคยอยู่ด้วยกัน แล้วชาติมันใกล้กัน พอชาติภพมันใกล้กัน มันจำกันได้ง่าย เหมือนท่านเจ้าคุณเพิ่นว่า นี่ธรรมดาไม่มีใครกล้าเรียกท่านพี่นะ แต่อาตมาก็ไม่รู้จะไปเรียกอย่างไร เรียกอย่างอื่นก็เกรงใจ เรียกพี่เสียเลยมันสบายดี ไม่ต้องไปคิดมาก ไปเรียกอาจารย์มันก็เคยอยู่ด้วยกันละเน้อ นี่เป็นอย่างนี้ความรู้สึกน่ะ เอาละตายก็ตาย พอดีกับน้ำมันหมุน เอ้าสงสัยญาติเรามาแล้ว เมื่อกี่ฝน มันมา น้ำมันหมุน ฝนมันตกหนักแรงขึ้นๆ มันก็หมุนลงไปในน้ำวนนั่นเลย วูบลงไปเลยปรากฏว่าน้ำหมุนติ้วลงไปเลย ปุ๊บไม่รู้มันไปอย่างไรละ ทีนี้มันปิ้ว มันหมุนเร็วไม่รู้ที่รอบ ดับเงียบ เงียบกริบ พอลืมตาขึ้นมาอีกทีนี่ ห้อมหอม เอ๊ะหอมอะไรหนอ หรือผุดขึ้นมาสวรรค์ละหนอ ลืมตาขึ้นมา เอ้ามันโพรงถ้ำนี่ สวรรค์มันไม่มีแบบนี้น่ะ มองไปทางช้ายมองไปทางขวาถ้ำ มองไปรอบๆ ข้างนี่ โอ้ มีแต่คนสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น ที่เข้ามาอยู่ดูแลมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ส่วนที่อยู่รอบนั้น งูทั้งนั้น งูตัวใหญ่ๆ ใหญ่กว่าต้นเสานี้ ตัวเท่า ต้นมะพร้าว เป็นร้อยๆ ตัวอยู่ในนั้น คิดขึ้นมาได้ เอ เราตายหรือยังเอามือมาจับตัว เอ้า! ยังไม่ตายนี่หนา ยังไม่ตายจริงๆ ถ้าตายมันจับไม่ได้ มันเป็นวิญญาณ ไม่ใช่อย่างนี้
ทีนี้เขาก็เลยมาถามว่าหิวน้ำหรือยัง ก็ว่าหิวตั้งนานแล้ว แต่ท้องมันแน่น สงสัยกลืนน้ำลงไปตอนน้ำหมุน เขาก็ให้กินน้ำ ก็รู้สึกเบาขึ้น ร่างกายสดชื่นขึ้น เขาก็พาไปดูสถานที่เขาไหว้พระสวดมนต์ คล้ายๆ ศาลา มีห้องเป็นชั้น มี ๒ ชั้น แล้วก็มีอาสน์สงฆ์อาสนะอย่างนี้ด้วย ก็อยู่กับเขาอย่างนั้นละ แล้วเขาก็พูดว่า บ่าวน้อย เจ้าอายุยังไม่ถึงที่จะตายน่ะ เดี๋ยวพวกพี่ๆ จะไปส่ง แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ต้องรออีกสักหน่อย เขาก็พาไปเที่ยวดู มันเป็นคล้ายใต้ดิน อาตมาคิดว่าคงเป็นใต้แม่น้ำซีนั่นแหละ ใต้หมู่บ้าน บ้างก็เป็นถ้ำ แต่ว่ามันแปลกอยู่อย่างมันสว่าง ก็ไม่สว่างมาก แต่มองไม่เห็นตะวัน แต่เวลาแม่ร้องไห้ กับแม่เรียกนี่ได้ยิน คล้ายกับเวลานั่งเงียบๆ ลูกเอ๋ย ลูกๆ ตายแล้วยังหนอ ลูกกลับมาให้แม่เห็นหน้าอีกสักครั้ง ลูกเอ๋ยลูก แกก็ร้องไห้ หัวอกของแม่เนอะ เพราะ ว่าหาแล้ว หาทั้งวันไม่เจอ หากันตั้ง ๒-๓ วัน ก็ไม่เจอ
สุดท้ายไปถึงวันที่ ๗ เขาก็พาขึ้นมา พอเขาพาขึ้นมานี่ เหมือนเดินขึ้นมาธรรมดาพอเดินขึ้นมา ก็มาถึงมันเป็นคล้ายๆ รูถ้ำออกมาจากโพรง อาตมาก็ว่าจะจำไว้ เพราะว่าลงไปในนั้นอีก เพราะว่าอะไร มีความอยากอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเขามีผลไม้ให้กิน กิน ลูกเดียว ( วันกินลูกเดียว) ผลไม้นั้นมันไม่เหมือนกล้วยเทวดานะหลวงปูนวลนะ มันเหมือนคล้ายๆ ลูกแอปเปิ้ล แต่มีรสหวานพอดี แต่เนื้อนี้มันเหมือนคล้ายๆ อะไร แตงโม ก็ไม่ใช่มันมีน้ำเยอะ แต่ว่ากินเข้าไปแล้วอิ่มนั่นแหละ อยากจะไปกินผลไม้อันนั้น แต่ว่าพวกแก้วแหวนเงินทองอะไรของเขานั้นไม่อยากได้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรตอนนั้น ไม่รู้เรื่องประสีประสาอะไรไม่เกี่ยวกัน แต่จำไว้ว่าเดี๋ยวจะกลับมาอีก
พอกลับมาเอ้าแพอันเดิม อยู่ที่เดิม อยู่ที่เก่านั่น เขาก็เลยบอกว่า เอ้าขึ้นตรงนี้ไปแล้วไปตรงโน้นจะมีคนรอรับ พอไปเขาก็ให้ขึ้น เราก็ขึ้น เขาก็บอกว่า ถ้าใครเรียกก็ขานได้เลยนะ แต่ถ้ามีอะไรเขาก็เขียนชื่อให้ พี่ชื่อนี้นะ เขาก็บอกชื่อ พอเขาบอกชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้ถือไม้อันหนึ่งเป็นไม้ตะขอ ไม้ตะขอแบบไม้คล้ายๆ หิน เขาบอกว่าถ้ามีอะไรก็ให้เสียบตะขอลงไปในดิน ให้น้ำนั้นติดกับฝั่งดิน แล้วเรียกชื่อเขา เขาจะขึ้นมาช่วยแต่เราก็ไม่ถือไป เอ้ยมันหนักเปล่าๆ เราจะถือไปทำไมก็วางไว้นั่นแหละ น้ำก็พาไป พาไปก็ไปติดเกาะ พอไปถึงเกาะแล้วก็ไปเจอตาผ้าขาวคนหนึ่ง หนวดยาวขาว ผมนี่ขาว ใส่ชุดขาวเฮ้ยรอนานแล้ว มา มะมา แกกวักมือเรียกเหมือนนิทานเลยนะ เหมือนที่เขาเล่ากันแพนั่นก็เข้าไปหาแก แกก็พาขึ้นไปอาบน้ำ พาไปกินข้าว แกเตรียมกับข้าวเตรียมอะไรไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ๒ วันต่อมาญาติพี่น้องเขาก็มาหาเจอ ทีนี้แกก็บอกว่าถ้าเขาถาม ถึงแม้จะจำได้ก็ตามอย่าไปพูด ให้พูดว่าพ่อ ให้พูดว่าแม่เหมือนเดิมนะ ครับ จำได้ พอ มีคนมาเรียกเอาเรือไปรับ ตาผ้าขาวนั่นก็มาส่ง มาส่งถึงบ้านเสร็จก็หายไปเลย ตาผ้าขาวนั่นก็หายไปเลย”
๓-๔ ขวบ มีความรู้พิเศษ : หยั่งรู้ ได้
ท่านเทศน์ต่อไปอีกว่า “ตอนสองละนะ เขาถามอีกว่าไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่เล่าให้ฟัง เขาก็มาคะยั้นคะยอ พอหลังจากขึ้นมาจากถ้ำมีความรู้ใหม่อีก ทีนี้มีคนมากราบ ทำไมถึงมากราบ ในหมู่บ้านนั้น ในสมัยนั้นอยู่ในเมืองอีสานนี่จะมีโจรมา
ปล้นควาย โจรสมัยก่อนเขาบอกเลยว่า พรุ่งนี้จะมาปล้น อีก๓ วัน ๗ วัน เขาจะมาปล้นเขามาบอกเลย ทีนี้เรารู้ก่อนเลย พอดีเราอยู่บ้านตา บอกตาว่า ตาๆ อีก ๓ วันเขาจะมาปล้นหมู่บ้านเรานะ เฮ้ยมึงมั่วก็แล้วไป พอดี๓ วันเขามาปล้น อันนี้เที่ยวแรกเที่ยวที่๒ วัวของหมู่บ้านนั้นหายไป หายไปเราก็รู้อีก มันรู้ขึ้นมาอีกว่า วัว ๓๐ ตัวหมู่บ้านโน้นเขาจับไว้ ถัดไปจากหมู่บ้านเรา๓ หมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเขาจับไว้ เขาก็ไปหาเขาไปหาที่อื่น แต่ว่าสุดท้ายเราพูดไว้แล้ว เขาไปเจออยู่ที่บ้านที่เราบอกเขา ทีนี้เขา ยังไม่เชื่ออีก ต่อมาจะมีโจรมาปล้นอีก เขาจะมาปล้นวัวทั้งหมู่บ้านถ้าไม่ให้เขา แต่ถ้าให้เขา เขาขอครึ่งเดียว ขอวัว ๕๐ ตัว แล้วขอกระบืออีก๕๐ ตัว ขออย่างละ ๕๐ ตัวเป็น ๑๐๐ ตัวล่ะนั่น
แต่ถ้าไม่ให้จะเอาหมดทั้งหมู่บ้าน ข้าวก็จะเอาหมดทั้งหมู่บ้านถ้าไม่ให้เราก็รู้อีก พอรู้อีกก็ไปบอกตา ตาก็เลยถามว่า แล้ววิธีแก้จะทำอย่างไร ก็ต้องไปหาหลวงปู่ไปปรึกษาหลวงปู่ แล้วถ้ามันไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ผมให้จับถ่วงน้ำ พอดีตาเป็นผู้ใหญ่บ้านเขาก็เลยเชื่อ ตาก็เลยไปกราบเรียนหลวงปู่คล้ายๆ หลวงปู่นวลนี่แหละ สมมติน่ะ หลวงปู่ก็เลยแนะนำให้ไปแจ้งนายอำเภอ แล้วให้ไปแจ้งทางจังหวัดให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดูแลเขาก็ไปแจ้งพอไปแจ้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาล้อมไว้ ทีนี้พอถึงวันโจรก็มาจริงๆ แต่เขาไม่กล้าปล้น เพราะมีเจ้าหน้าที่มาเรียบร้อยแล้ว ก็มาล้อมต่างคน ต่างดูกันอยู่เฉยๆ ต วันก็เลยแยกย้ายกันไป โอ้เรากลายเป็นผู้วิเศษแล้วบัดนี้ เขาเริ่มเชื่อแล้วแต่ก็ยังไม่คักเท่าไร
อยู่ต่อมาน้าของอาตมาเอง เดี๋ยวนี้เป็นครูอยู่จังหวัดลำปาง ไปเรียนหนังสืออยู่ในจังหวัด ปรากฏว่าพอปิดเทอมปั๊บ แกก็เข้ากรุงเทพฯ ไปกับญาตินั่นแหละ ตาซึ่งเป็นพ่อกับแม่เดือดร้อน โอ้ยไปถามหมอที่หมู่บ้าน เขาก็บอกว่าผีเอาไป ไปถามพระ พระ ก็บอกว่าเขาไปหลงป่า ตอนเดินทางกลับหลงป่า แต่มาถามเรา เราก็บอกว่าไม่ใช่ ไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่มีรถวิ่งไปวิ่งมาสวนกัน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยเจอรถ แล้วก็ไม่เคยมากรุงเทพฯ บ้านเขาเป็นชั้นๆๆ มันคงจะเป็นตึกล่ะน้า แต่เราก็ไม่เคย เห็น วิธีการก่อนนอนหลับตาปี๊บหลับปั๊บ เป็นภาพปุ๊บขึ้นเหมือนทีวีเลย เห็นเลยเมืองกรุงเทพฯ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ก็เลยบอกว่ามันมีรถ มันมีสะพาน รถวิ่งสวนกันไปสวนกันมานะตา แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาก็เลยเข้าใจว่ากรุงเทพฯ เขาก็เลยตามไปที่กรุงเทพฯ ก็เลยเจอน้าคนนั้น อันนี้ยังอยู่ใน ๓ ขวบ กับ ๔ ขวบนะนี่ ต่อไป ๕ ขวบ”
๕ ขวบ พระอรหันต์ให้ภาวนา
พระอาจารย์บุญเดชเทศน์ต่อว่า
“เอ้า ๕ ขวบพบพระอรหันต์เมตตาให้ภาวนายายแกเป็นคนจำศีล อย่างในพรรษานี้ ยายศรัทธาหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น ก็เลยพาไป วัดถ้ำกลองเพล ยายก็เลยชวนไปด้วย ไปนั่งรถ ๒ วัน จากอำเภอเสลภูมิ ไปถึงวัดหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ๒ วัน ๒ คืนสมัยนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไป ๓ ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว พอไปถึงยายก็ไปสมาทานศีล ๘ อาตมาก็อยู่กับพระ เดี๋ยวนี้ยังจำได้ มีหลวงปู่บุญเพ็งเจ้าอาวาส หลวงพ่อทุยนี้ก็จำได้ หลวงพ่อทูลนี่ก็จำได้ วัดป่าบ้านค้อ หลวงปู่ขาน จังหวัดเชียงราย นี่พระเถระผู้ใหญ่ยังจำได้หมดเลย สมัยนั้นท่านเป็นพระหนุ่ม
ทีนี้คำว่าพบพระอรหันต์ก็คือเราก็คิดเอาเนาะ หลวงปู่บ่เขียนไว้เด้อ ตอนเช้าหลวงปู่ขาวท่านไปบิณฑบาต ไม่รู้ไปบิณฑบาตที่ไหน ก็ปรากฏว่าท่านถือถุงเงาะกับทุเรียนมาเต็มถุงเลยวันนั้น เดินเข้ามาพอดีกับอาตมาก็ไปรับกับเณร ๒ รูป หลวงปู่ถามว่า ถือไหวมั้ย ไหวครับ มันชอบอยู่แล้วเงาะนั่นน่ะ เอ้าคิดดูก็แล้วกัน เมืองอีสานสมัยนั้นใครปลูกเงาะนั้นไม่มีแล้ว จากวัดถ้ำกลองเพลไปจังหวัดอุดรนี่อีก ๔๐ กว่ากิโลเมตรเกือบ 20 กิโลเมตร ในจังหวัดอุดรสมัยนั้นจะมีเงาะขายด้วยเหรอ ไม่น่าจะมี นอกจากขอนแก่นหรืออุบล ที่นี้ไอ้เราก็เคยกิน มันเหลือจากในบาตร เวลามีงานวันพระวันอะไรนี่เหลือลูก ๒ ลูก โอ้ทำไมมันอร่อยแท้ เปลือกมันก็ห้อมหอม เพราะมันมีน้อยเนอะเณรเก็บไว้ให้ หลวงตาก็เก็บไว้ให้
พอมาถึงศาลา กราบเสร็จเรียบร้อย ถวายอย่างมื้อนี้แหละ ถวายแต่หัวแถวยาวไปสุดเรียบร้อย เพิ่นก็เอาถุงเงาะนั่นวางไว้ในฝาบาตร เพิ่นก็เรียกมานั่งใกล้ๆ อยากได้ไหมนี่ อยากได้ครับ อยากได้ต้องหาอะไรมาแลกเอา เอาครับ ให้นั่งภาวนาเอา ถ้านั่งภาวนาตามที่หลวงปู่บอกนี่หลวงปู่ให้หมดถุงนี่เลย เอ้านั่งภาวนาก็เอา ให้ภาวนาว่าอย่างไรหลวงปู่ “บักเงาะ” พบพระอรหันต์บักเงาะ เพิ่นไม่ได้ว่าพุทโธน่ะ หลวงปู่ขาวไม่ได้สอนพุทโธนะ แต่ว่าสอนลูกศิษย์ท่านนะใช่ แต่สอนอาตมา บักเงาะๆๆ ไม่ได้ว่าพุทโธเหมือนท่านเจ้าคุณหรอก ท่านเจ้าคุณนี้สอนสองอย่างพุทโธ กับ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ สอนพระใหม่ตอนนี้กำลังสอนอยู่ แต่หลวงปู่ขาวไม่ได้ว่า หลวงปู่ขาวสอนว่า บักเงาะ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายตรง เอาจิตมาไว้ที่หน้าอก แล้วพูดว่า บักเงาะๆๆ ค่อยๆ ที่แรกเราก็บักเงาะๆๆ แล้วก็เหลือบตาดูบักเงาะ แล้วก็บักเงาะๆๆ เหลือบดูอีก บักเงาะ ๓ ครั้ง จิตดับพรีบไปเลย เงียบ สว่างโร่
โอ้โห! อัศจรรย์อย่างยิ่ง นี่ 2 ขวบนะ สว่างโร่ เงียบ ไม่รู้อยู่ที่ไหนว่ะ โอ้โห! สบาย จังเลย เอ๊ะสวรรค์หรือเปล่า แต่ถ้าสวรรค์ ไม่ใช่ มันไม่มีใครเลย มองไม่เห็นใคร มันมีความรู้สึกคล้ายๆ ที่เราอยู่บนเครื่องบิน ที่บินอยู่เหนือเมฆ ที่บินจากสนามบินดอนเมืองมาบ้านหนองมนนี่ มองไปมันขาวๆ ว่าจะถามเจ้าคุณ เดี๋ยวเพิ่นจะด่าเรา เพิ่นกำลัง อ่านหนังสือ เอ้มันเหมือนเราภาวนาตอนอยู่กับหลวงปู่ขาวเน้อ เหมือนอยู่บนปุยเมฆ อยู่คนเดียว แต่ความรู้สึกเย็นสบายแป๊บเดียวเสียงระมังดังเป็งๆๆ ดังขึ้นๆ โอ้เพิ่นตีระมังแล้วหลวงปู่คงฉันเสร็จแล้วละมั้ง เอ้อเริ่มหิวแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมาปั๊บ อ้าวบักเงาะอยู่เหมือนเดิมแต่มันมาตั้งอยู่ข้างหน้านี่แล้วน่ะ พอหันมาทางขวา เอ้าหลวงปู่ขาวยังนั่งเฝ้าอยู่เลยหลวงปู่ขาวไปไหนไม่ได้ เพราะในระหว่างนั้นคิดว่าคนจะมาจับตัวไม่ได้ โอ้ยแต่ก่อน น่ารักนะ รูปหล่อกว่านี้เยอะ ขาว ลืมตาขึ้นมา อ้าว! เอาขาออกไม่ได้แหละนี่หลวงปู่ขามันติดกันละนี่ หลวงปู่ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวลืมตาก่อนแล้วก็ค่อยๆ เอาแขนออกแขนไม่เป็นไร สบายมาก แต่ขาเอาออกไม่ได้ ตายแล้วจะทำอย่างไร หลวงปู่จะทำอย่างไรนี่ครูบาเพ็งๆ จำได้สมัยนั้น มานี่ๆไปเอาผ้าเช็ดตัวหลวงพ่อมาที่ผืนเก่าๆ แล้วก็เทน้ำร้อนใส่ แล้วก็มาปิดนี่ นี่ปิดนี่ พอปิดปั๊บหลวงปู่ท่านก็บอกว่า เอ้าทำใจให้สบาย ทำใจให้เหมือนตอนที่เป็นเมื่อกี้นี้ โอ้จะทำได้บ๊อ มันร้อน บักเงาะจั้นใดก็ร้อนเหมือนเดิม ร้อนๆ ก็ดีดออกไป ดีดชาออกไปได้ละเน้อ ออกไปเต็มที่เพราะร้อนเน้อ ออกไปมันเหยียดออกไปพอดีสมัยนั้นเน้อมันเด็กก็เลยเหยียดออกไป เพิ่นบอกให้บีบเจ้าของ เพิ่นก็เลยบีบ ก็เลยเรียกยายมา ยายก็มานั่งเฝ้าอยู่นี่ ยายก็ไม่พูดอะไร เพราะยายมาจำศีล ในพรรษายายไปตลอดเลย
เอาละตอนนั้นอยู่กับหลวงปู่ขาววัดถ้ากลองเพล สมัยนั้นยังเป็นหญ้าคาอยู่เลย
๕ ขวบ ทีนี้ก่อนจะกลับมาที่จังหวัดร้อยเอ็ด ก็ได้ยินหลวงปู่ขาวบอกว่า ยายอย่าพาเด็กคนนี้นั่งภาวนานะ ให้ยายพาไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ให้มันไป เอ๊ะทำไมไม่ให้เรา นั่งภาวนา แต่ยายทำไมนั่งเฉย มันก็แปลกอย่างหนึ่ง พอยายนั่งเรามองยาย เอ้ ยาย นั่งทำอะไร ทำไมยายคิดถึงแต่ทุ่งนาทุ่งหญ้า อ้าแปลกนะ มองยายไม่เหมือนเราเลย เราโน่นไปอยู่สวรรค์ ยายนั่งแบบนี้จะได้อะไร ยายๆ นั่ง ยายไปคิดถึงวัวถึงควายทำไม มึงรู้ได้อย่างไร อ้าวไม่รู้แล้ว เรานั่งอยู่ข้างหลังนี่แหละเน้อ นั่งอยู่ข้างหลังไม่รู้นี่ใช้ไม่ได้น่ะแสดงว่าพวกข้างหลังนี่ต้องรู้เหมือนกันนะนี่ ไม่รู้ไม่ได้ ก็เรานั่งข้างหลังนี่ นั่งไปมองเพ่งไปที่ยายปี๊บละนี่ มันรู้เลยว่ายายคิดอะไร แต่วันไหนยายแกจิตสงบพุทโธ ไม่สนใคร จะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน เป็ดจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน บางทีโอ้ยใครไปเลี้ยงเป็ดแล้วยังใครเอาเป็ดเข้าเล้าหรือยัง ยายนั่งยายว่าพุทโธ พุทโธอย่างไร โน่นเห็นยายไปอยู่กับเป็ด นั่นคือจิตของยายไปไล่เป็ด โน่นไปอยู่ตามทุ่งนา อ้ามันเป็นอย่างนั้น อันนี้อาตมาเป็นเองเป็นบ้าหรือเปล่าอย่าเพิ่งเชื่อนะ ๕ ขวบผ่านไป เจ้าของพูดนิดเดียวเราก็ไปเรื่อยๆ ถึงอย่างไรมันก็ฝนตกกลับไม่ได้ละเน้อ (ขณะเทศน์ฝนตกหนัก)
๖ ขวบเป็นฮิโร่
ท่านเทศน์ตอนหนึ่งว่า
“จาก๖ ขวบถึง ๑๑ ขวบ รู้ภาษา ภาวนาก็ไม่ได้เรื่องแล้วเพราะเริ่มฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าน้ำท่วมข้าวก็ไม่ได้กิน ทำอย่างไร ถึงจะได้กินข้าว ก็คือจับปลามาขาย จับปลามาขายก็เป็นเซียนจับปลาอีก ปลาดุกนี่สุดยอดขอให้มันมีเถอะ ปลาช่อนนี่ก็สุดยอด ขอให้มันมีเถอะ ปลาไหลนี่ก็สุดยอด เต่านี่ก็สุดยอด นี่เป็นกรรมนี่ กรรมปลาไหลโรคลำไส้ โรคริดสีดวง กรรมปลาไหลทั้งนั้นอยู่ในห้อง
จาก ๖ ขวบไปถึง ๑๑ ขวบ ช่วงอยู่กับหลาน ตานี่เสียไปนานแล้ว อ้าวลืมบอก เรานี่มันชวยจริงเลยเน้อ โยมพ่อโยมแม่หย่ากันตั้งแต่อาตมาอายุ ๓ ขวบ เพราะความคิดไม่ตรงกันคนหนึ่งมาอยู่กระบี่ นี่โยมพ่อ โยมแม่ไปอยู่ระยอง ปล่อยเราไว้อยู่คนเดียว ทีนี้ไอ้พวกหลานมันก็มาอยู่ด้วย ชีวิตเราเลยต้องกลายเป็นผู้นำ เป็นฮีโร่ตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ เริ่ม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นั่งภาวนาอย่างไรจิตมันก็เฉยๆ ยืนอย่างไรก็ไม่มีความเย็น เพราะเริ่ม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็น แล้วก็เก็บสะสมเงินฝากธนาคารเป็น ฝากธนาคารที่ไหน ฝากธนาคารไว้กับแม่ธรณี เก็บเงินใส่ในกระป๋อง เพราะว่าถ้าให้หลานเห็นหลานจะหยิบไปเก็บใส่กระป๋องเอาไปฝังดินไว้ แม่ธรณีเอ๊ยอย่าให้ขโมยขโจร อย่าให้ใครมาเห็นเงินเด้อฝากไว้บริเวณบ้านเจ้าของนั่นแหละ”
๗-๘ ขวบ ขุดมันด้วยปัญญา : ไปแลกข้าวต่างภพ
ในการเทศน์อีกกัณฑ์หนึ่ง พระอาจารย์บุญเดชเล่าว่า
“วันหนึ่งช่วงน้ำท่วมนาเราอาศัยอยู่ที่เพิงในนาข้าวคนเดียว มีคนมาหา ๓ คน เราถามเขาว่า กินข้าวแล้วหรือยังเขาก็บอกว่า ยัง โอ้เผาปลาด้วยหรือ เราบอกว่าใช่เผาปลาด้วย เคยกินหรือไม่ เขาก็บอกว่าไม่เคย เราก็เชิญให้เขานั่ง แล้วเราก็ปูเสื่อให้นั่ง เขาก็นั่งเรียบร้อย เอ๊ะ! ตัวเท่ากันหมดเลย สวยด้วยนะ เรายังไม่เคยเห็นคนในหมู่บ้านสวยเท่านี้ เราก็ถามว่ามาจากไหน เขาก็ชี้ไปข้างหลัง เขาก็เลยถามว่า เขาอยากจะมากินข้าวด้วยได้ไหม? เรา ก็บอกว่าได้ เขามีข้าวมาคนละห่อ เราก็มีข้าว เขาบอกว่าไม่กินปลา ถ้าไม่กินปลา เรา ก็มีน้ำพริกปลาร้า เราถามว่ากินน้ำพริกได้หรือไม่? เขาบอกว่าได้ แต่เขาบอกว่าไม่กินปลาร้าอีก เราก็บอกว่าไม่เป็นไร น้ำพริกใส่เกลือกับน้ำมะนาวก็ได้ เราก็ทำน้ำพริกมาตั้งเขามานั่งตีวงกินด้วย พอเขาเปิดข้าวของเขาออกมา ข้าวเขาสวยมาก คล้ายๆ ข้าวผัดแต่ก็ไม่ใช่ ดูแล้วไม่มีเมล็ดหักเลย เราบอกเขาว่าเพื่อนไม่มี มีแต่หลานนอนอยู่ที่บ้าน ส่วนมากจะอยู่ที่นี่คนเดียว เลยมีถ้วยแค่๒ ใบ เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาก็แบ่งข้าวจากห่อของเขาทั้ง๓ คนมาใส่ถ้วยให้เรา เราก็แบ่งข้าวเหนียวของเราให้เขา เราก็กิน พอกินๆ เข้าไป รู้สึกว่าข้าวเขาอร่อย หอม มีความรู้สึกว่า หอม เย็น จนเราต้องค่อยๆ เคี้ยวเหมือนเคี้ยวหมากเลย เขาถามมาว่าเป็นอย่างไร อร่อยไหม? เราก็บอกว่าอร่อย เราก็กินจนอิ่ม แล้วคิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้กินข้าวเขาอีก ก็เลยบอกเขาว่าจะเอาหัวมันไปแลกข้าวเขา แล้วเราก็ลุกไป ตักน้ำใส่กระบอกตั้งให้เขาดื่ม
ก่อนกลับบอกเขาว่าอีก ๓ วัน ให้มารับหน่อยนะ เพราะว่าต้องพายเรือไป แต่เราก็เช่อ เซ่อเพราะว่าอะไร เพราะว่าเรือเรามีลำเดียว แล้วเขาข้ามมาอย่างไร นี่มันสำคัญ ทีนี้เราก็ไปหาหัวมัน จะเอาไปแลกข้าว ถ้าฉลาดนะไม่ต้องขุดอยู่ที่สมอง เสียมเราก็มีอันเดียว เราก็ขุดคนเดียว ถ้าเราเอาหัวมันไปน้อย ไปแลกข้าวก็จะได้ข้าวน้อย คือเห็นว่าข้าวเขาอร่อย ไม่คิดว่าเพราะเขาสวยหรอกนะ แต่เขาก็หน้าตาดี เราจะใช้สมองอย่างไรดี คิดๆไป ก็ลองไปดึงหัวมัน พอดึงๆ มันขาด เอาน้ำมาสาดใส่ดินแล้วก็นั่งดูน้ำก็ซึม ทีนี้ค่อยๆ ดึง ดึงเรื่อยๆ เออหัวมันขึ้นมา วันนั้นได้หัวมันประมาณ ๑๐ กว่าหัว วันต่อมาเราต้องฉลาดกว่านี้อีก ทีนี้เอากิ่งไม้โน้มลงมาเอาเถาวัลย์มามัดติดกับต้น หัวมันกับกิ่งไม้เหมือนเบ็ดมัดๆๆ หลายกิ่ง เพราะเรามองเหตุการณ์แล้วว่าคืนนี้ฝนจะต้องตกแน่ เพราะลมเหนือกับลมใต้มาปะทะกัน เราได้กลิ่นฝน พอตอนกลางคืนประมาณตี ๑-๒ ฝนมันตกประมาณชั่วโมงกว่า เราคิดในใจสบายแล้ว เราไม่ต้องไปขุดเลยพรุ่งนี้ ตอนเช้าพอปล่อยวัว ปล่อยเป็ดให้ไปหากินเรียบร้อยแล้ว ก็เอาตะกร้าไปเก็บหัวมันกับหลาน พอไปถึงเห็นหัวมันห้อยต่องแต่งๆ เป็นแถว บอกหลานเอ้าเก็บๆ สับๆ ใส่ตะกร้าได้หัวมัน ๗ ตะกร้าเต็ม แต่ไม่บอกวิธีเก็บหัวมันให้ใครรู้หรอก สมัยก่อนคน อีสานขุดหัวมัน ทั้งวันได้คนละประมาณ ๑๐ หัว แล้วเอามานึ่งกินแทนข้าวได้ ถ้ามีน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อยเทใส่ลงไปในหัวมัน จะหอมอร่อยกินแล้วอิ่มเหมือนข้าว
พอใกล้ค่ำก็บอกให้หลานกลับบ้าน แล้วเราก็ขนหัวมันลงเรือ เสร็จแล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อเรณแขนยาวอย่างดี เสื้อเรณสมัยนั้นแพงที่สุด ตัวละ ๑๕ บาท ใส่กางเกงขาสั้นผ้าฝ้าย ซื้อมาตัวละ ๖ บาท มี ๒ กระเป๋า เอ๊ะเราต้องกินข้าวให้อิ่มจึงจะไป กับข้าววันนั้นก็ไม่มีอะไร น้ำพริกเกลือ ปลาร้าก็ไม่ใส่ กลัวเขาเหม็นคาว กลัวเขาจะรังเกียจ ก็เลยไปเอาผักบุ้ง ผักต่างๆ มาต้มกิน เพราะเราเกรงใจเขา พอเขาเรียกให้กินข้าว เราจะได้บอกว่ากินข้าวแล้ว วางแผนไว้ ๑๐๘ อย่าง พอกินอิ่มเรียบร้อยก็ไปบอกตายาย ที่เป็นภูมิเจ้าที่ที่อยู่ตามนาข้าวว่าฝากดูแลให้หน่อย ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมา ลืมเขียนจดหมายเอาไว้เผื่อหลานจะได้ไม่เป็นห่วง ก็พายเรือไป พอไปถึงฝั่งโน้น เขาก็มารับจริงๆ มารับ ๓ คน โอ้ใส่ชุดสวยสีเขียวหมดเลย แปลกดี วันนั้นไปหาเราใส่ชุดสีขาว ต่อนเราไปตลาด ไปขายปลา เราไม่เคยเห็นมีขายที่ไหนชุดเสื้อผ้าสีเขียวแบบนี้มันสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
เขาก็ดึงเรือขึ้นไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็บอกว่า จะให้ช่วยหามหรือเอาเรือไปจอดหน้าบ้าน อ้าวเรือไปจอดหน้าบ้านได้หรือ เขาบอกว่าได้ แต่ต้องพายไปอีก เดี๋ยวเขานั่งไปด้วย เราคิดในใจ โอ้ย! นั่งไปสี่คนเรือไม่จมหรือ ตะกร้ามันก็เต็มไปหมด เขาก็พูดว่าโอ้ทำไมมันนี้สวยจังเลย เราก็บอกว่ามันไม่ใช่สวยธรรมดา มันเกิดจากปัญญา กินแล้วหอมด้วย หวานด้วย จริงหรือ จริง ที่จริงเราโกหกเขา) เขาก็ขึ้นมานั่งบนเรือ เรา ก็พายไป เขาก็ช่วยพาย พายไปๆ พอเลี้ยวไป เข้าไปในป่า เรารู้ว่าพายเข้าไปในป่าโอ้เหมือนข้ามไปอยู่อีกมิติหนึ่ง เรารู้สึกอย่างนั้นเลย อ้าวมันเป็นหมู่บ้าน อ้าวทำไมหมู่บ้านนี้เราไม่เคยเห็น เรารู้จักแทบทุกบ้าน ทำไมมีหมู่บ้านอยู่ริมแม่น้ำแบบนี้ คือ บ้านอยู่ติดริมแม่น้ำ แล้วบ้านแต่ละหลังๆ มันเหมือนสมัยอโยธยา เป็นหมู่บ้านที่เวลาเราผ่านไป จะมีคนทักทาย โอ้โชคดีนะ เป็นอย่างไรมาอย่างไรน่ะ กินข้าวหรือยัง ผ่านบ้านไหนเขาจะเรียกกินข้าวตลอด แล้วทุกคนจะมีหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใสไม่หน้าดำคร่ำเครียดเหมือนคนมีหนี้เลย ก็พายเรือต่อไป
บ้านแต่ละบ้านคล้ายทรงไทย คล้ายศาลเจ้าละน่ะ มันเหมือนกันไปหมดอยู่ริมน้ำ มีคนอยู่ทุกหลังคา เรือก็ไปจอดตรงบันไดชานบ้าน เราเข้าใจว่าเป็นชานที่เขาอาบน้ำ เรา ก็คิดต่อไปว่าผู้หญิงที่เขาอาบน้ำ เขาอาบทำอย่างไรหนอ เราก็สงสัยเพราะเราอยู่ของเราคนเดียว สมัยนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย พอแก้ผ้าแล้วเราก็โดดลงไปเลย ทีนี้พอเขารู้ เขา พูดว่า เจ้าน่ะไม่มีบุญได้เห็นหรอก เพราะว่าวาสนาเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน อ้าวเราคิดในใจทำไมแกรู้วะ เก่งเหมือนกันนะ แกก็ยิ้มๆ แกก็ไม่ว่าอะไร แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก คิดได้แค่นั้น เพราะเป็นความคิดของเด็กอยู่นั่นเอง ที่นี้เราก็ขึ้นไปบนบ้าน ก็หามหัวมัน ขึ้นไปตั้งในบ้านเขา เขาก็บอกพ่อเขา พ่อ พ่อ หนูเคยไปกินข้าวบ้านเขา เขาเลี้ยงยายหนึ่งคน กับหลาน ๖ คน พวกหนึ่งกำลังเรียน อีกพวกหนึ่งยังไม่ได้เข้าเรียน เขากำลังหาเงินเลี้ยงหลานแล้วน้ำก็ท่วมบ้านเขาที่บ้านเขามีข้าวไม่พอกินเขาอยากเอาหัวมันมาแลกข้าว หัวมันของเขาเป็นหัวมันที่แปลกน่ะพ่อ ทั้งหอม ทั้งหวาน (โอ้โห ตายละ เราพูดเองนะนี่ถ้าหัวมันไม่หอม ไม่หวาน โดนเขาไล่หนีหรือเปล่านี่ คิดในใจน่ะเราพูดไปได้อย่างไรหนอ) พ่อเขาพูด โอ้ เหรอ ถ้าอย่างนั้น เอาไปนึ่งเลยจะได้กินกัน ตอนนี้ยายไปวัด พอยายกลับมาจะได้กินด้วยกัน พอนึ่งข้าวเสร็จแล้วก็นึงหัวมันเลยนะลูกนะ โอ้ยตายเราไม่สบายใจเลย หัวมันก็คือหัวมันธรรมดา พอนึ่งสุกแล้วรสชาติจะไปหวานได้อย่างไร
เขาก็เอาหัวมันแบ่งใส่ตะกร้าไปที่หน้าบ้านเขา ไปปอก หน้าบ้านเขาปลูก ต้นไม้ไว้สองข้าง ดอกไม้ของเขาเป็นพวงสวยแล้วก็หอม หอมคล้ายๆ ดอกโมกกับดอกจำปา หอมแบบนั้น เราก็ยกหัวมันไปให้เขา เขาก็ปอก เราคิดในใจว่าถ้าหัวมันของเราไม่หอม ไม่หวาน เขาจะให้ข้าวเราหรือเปล่าหนอ เสร็จแล้วเขาก็เอาไปนึ่ง พวกหนึ่งก็ทำกับข้าว อีกพวกหนึ่งก็พาเราไปเก็บผลไม้ โอ้ผลไม้เขาแปลกมหัศจรรย์มาก เป็นแถวๆ แต่ละแถวมีต้นดอกไม้ล้อมรอบไม่มีรั้ว ที่นี่ไม่มีการลักขโมยกัน ถ้าต้องการก็ขอกันกินหรือใช้ตะขอเกี่ยวเอาไว้เหมือนคนโบราณเขาบอกว่าจะพาไปเก็บแตงเก็บถั่วคล้ายๆถั่วลิสง คือเป็นถั่วลองข้ออ้วนๆ มาต้ม เขาไม่เก็บมามากแค่ถ้วยเดียว เราก็ว่าเก็บมาแค่นี้จะกินอิ่มหรือ ธรรมดาเราต้มครึ่งหม้อ หลานเรากินแป๊บเดียวหมด เขาบอกว่ากินไม่หมดหรอก แค่นี้พอแล้วเขาเดินนำหน้า เราก็เดินตามหลังต๊อกๆ เก็บเสร็จเรียบร้อยก็กลับพอดียายนั่งเรือกลับมา ยายใส่เสื้อเหมือนคนลาว คือเขาจะแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อแขนยาว มีผ้าพาดไหล่สีขาวมีแถบทอง (ผ้าพาดไหล่คล้ายผ้าสังฆาฏิ เขาเดินขึ้นมาบนเรือน นั่นยาย ยายมาแล้ว เราก็ยกมือไหว้สวัสดีครับยาย อ้าว เจริญพรนะคุณลูก เราก็แปลกใจทำไมพูดเจริญพรเหมือนพระเลยแต่ก็ไม่ถามอะไร เอ้ายายเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาทานข้าวด้วยกันนะ เพราะว่ามีแขกมาเขาเป็นเพื่อนกับหลาน เขาเอาหัวมันมาเปลี่ยนข้าวบ้านเรา เราก็นั่งรอ ขณะที่รอก็ยังคิดอีกว่า ถ้าหัวมันของเราไม่หวานจะทำอย่างไรดี คิดว่าเขาจะให้ข้าวเราหรือเปล่าแต่ก็คิดว่าอาจจะให้สัก ๑ ถุง แทนที่จะได้เต็มลำเรือ
พอเขาเอาถ้วยมาใส่ข้าว มันแปลกมาก ข้าวของเขาเหมือนข้าวสวย แต่ไม่ใช่จะปั้นแบบข้าวเหนียวก็ได้ เราก็กินแบบบ้านเรา คือเอาข้าวมาปั้นแล้วจั้มใส่กับข้าว กับข้าวของเขาคล้ายอาหารเจ ไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่ก็อร่อยมาก เราดูเขากินไม่ใช่แบบนี้เขาเอาช้อนไม้ตักกับข้าวมาใส่ในถ้วยข้าว เออกินเหมือนคนอินเดียนี่นะ พอข้าวใกล้จะหมด พ่อเขาก็บอกว่า เอ้า เอาหัวมันมาลองกินดูสิ พอพ่อเขากินเข้าไป โอ้ มันหอม หวานจริงๆเอ้ายายลองกินดูสิ ยายก็ยกหัวมันมาตั้งข้างหน้า แล้วยายก็ลองกิน เออ หัวมันสวน นี้มันแปลก เพราะไม่ได้ขุดขึ้นมา มันเกิดจากปัญญาของคน (เราก็คิดในใจแล้วยายรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้ขุดขึ้นมา) แล้วยายก็พูดต่อว่า มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่บ้านผมครับ แล้วยายก็พูดต่อว่าเด็กน้อยคนนี้ฉลาด เราก็ไม่สนใจ ไม่โดนด่าก็ดีแล้ว เราก็ลองไปชิมดูเอ๊ะ! มันก็หอมจริง แล้วก็หวานจริงๆ ด้วย
หลวงพ่อมีพิเศษคือว่าสิ่งแปลกๆ พอพูดไปแล้ว มันก็เป็นไปเองตามที่พูด อย่าง ลูกประคำนี่ เจ้าของเขาซื้อมาสี่ห้าแสน เราไม่ได้ซื้อมาสักบาท พอเอามาคล้องคอ เจ้าของเขาไม่กล้าขอคืน พอเราจับก็รู้แล้วว่า อายุประมาณกว่า ๒,๐๐๐ ปี ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๑ เป็นหยกของกษัตริย์ขอมโบราณ ไว้ใช้สำหรับไม่ให้ศพเน่า แล้วก็ไม่มีกลิ่น ก่อนจะตายเขาจะเอามาอธิษฐานแล้วเอาลูกประคำมาคล้องตัวไว้ ต้องลงอักขระแล้วสวดมนต์ตลอด คนทั่วไปไม่รู้หรอก สีก็ไม่สวย
ทีนี้เราก็นั่งกินนั่งยิ้มแล้ว เขาต้องให้ข้าวเราเยอะแน่ ที่บ้านเขาแต่ละบ้านมีเล้าใส่ข้าวทุกหลังเลย (ที่นี่เขาเรียกเล้าไม่ได้เรียกยุ้งข้าว) สมมติว่าบ้านเขาใหญ่เท่านี้เล้าของเขาก็เท่านี้ แต่นาข้าวของเขามีนิดเดียวไม่มาก แต่เขาบอกว่านาของเขาปลูกครั้งเดียว รอไปเก็บอย่างเดียว แล้วไม่ต้องปลูกอีกเลย นาของเขามีแปลงเดียวเท่านั้นพอกินเสร็จ เขาบอกว่าวันนี้ที่วัดเขามีงาน มีพระมาสวดมนต์ มาเทศน์ และมีการละเล่นตามประเพณีชาวบ้านของเขา จะไปดูไหม ไป เอ้มันจะเหมือนวัดบ้านเราหรือเปล่า มีหลวงตามาเทศน์ หลวงตานี้ถูกอัธยาศัยกับเรามาก พอเราไปที่ไร ท่านก็จะเขกมะเหง็กเราประจำ เมื่อไหร่มึงจะมาบวช ดูสิว่าหลวงตานี้จะรู้จักเราไหม เขาก็พาเราไปอาบน้ำ แต่เขาไม่ได้อาบน้ำ เราก็ไม่สนใจ
พอเราอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาชุดมาให้เปลี่ยนชุดสีเขียวเหมือนกันเลย สีเขียวคล้ายๆ หยก เขาก็บอกว่าชุดของเราเก็บไว้ใส่วันที่จะกลับ ต่อไปต้องใส่ชุดนี้ตลอดแล้วมีเปลี่ยนไหม เขาบอกว่ามี ๒ ชุด พอเอามาสวมมันเท่ห์ดี แล้วมีสร้อยเป็นลูกประคำใส่ให้ด้วย คล้ายๆ กับลูกประคำเงิน แต่มันแปลกคือเม็ดลูกประคำลักษณะคล้ายๆเกล็ดงู แต่รู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมต้องใส่ลูกประคำด้วย แต่ก็ไม่รู้อะไร เขาบอกว่าไม่ใส่ไม่ได้ไปวัดนี้ต้องใส่ ถึงกลับมาแล้วก็ต้องใส่ ยกเว้นก่อนนอนให้ถอดไว้ที่หัวนอน ตื่นเช้า ขึ้นมาจะไปไหนก็ตามต้องใส่ลูกประคำนี้ก่อน เขาบอกเขาก็ใส่ แต่เขาใส่เส้นเล็กๆ แต่ยาวเราก็ไปกับเขา เขาให้ถือพาน ในพานมีหมาก มีบุหรี่ อย่างละ ๔ ชุด (นี่นะสังเกตง่ายๆ นะเวลาคนเขาจะไหว้ผี ไหว้พระภูมิเจ้าที่ หมากคำเท่านั้น) ไอ้เราก็ไม่เอะใจอีก แต่ก็เคยเห็นยายทำอยู่
ในระหว่างอยู่ที่นี่ เรายังไม่เคยได้นอน แต่ก็ไม่ง่วงนอน แต่ว่าได้ยินเสียงคนเรียกได้ยินเสียงยายมาเรียกหาอยู่นะ รู้สึกว่าได้กินข้าว ๒ มื้อ พอมื้อที่ ๓ ถึงได้กลับ นั่นแหละ ๗ วันเข้าไปแล้ว วันแรกพอกินข้าวเสร็จก็ไปเก็บผัก แล้วไปดูที่เขาปลูกข้าว ปลูกผลไม้ตอนบ่ายก็ไปวัด กลับมาก็มานอน นอนแป๊บเดียวยังไม่ทันได้หลับตาไก่มันก็ขัน แล้ว ก็ไม่มืด มันก็แปลกนะทำไมมันไม่มืด มีความรู้สึกว่าจากเช้ามายังไม่ถึงบ่ายเขาก็ส่งเรากลับแล้ว
ทีนี้พอไปวัด ไปเห็นหลวงตา โอ้หลวงตานี่น่ากลัว ผอมๆ สูงๆ หุ่นคล้ายหลวงปู่มั่น ห่มจีวรสีเหมือนหลวงปู่มั่นมาก เดินมามือถือคัมภีร์ พอมาถึงชี้หน้าเลย เฮ้ยมึงใส่ชุดนี้มาได้อย่างไร แล้วเราก็มองพวกนั้น เห็นเขายิ้มเฉย มึงนั่นแหละ หลวงตาพูด โอ้ทำไมหลวงตานี้ดุทุกวันก็ไม่เคยดุ ทำไมใส่ชุดนี้ มานี่ เรียกไปก็ไป ไม่รู้สึกกลัวหลวงตา ทำไมใส่ชุดนี้มา ชุดเดิมไปไหน
“ชุดเดิมไหนครับ ผมมีชุดดำ ส่วนชุดนี้เขาให้ยืมใส่”
“ชุดเหลืองที่ย้อมแก่นขนุนไปไหนล่ะ”
“ชุดเหลืองไหน มีแค่นี้หลวงตา”
“เหรอ” แล้วท่านก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก
“เอ้าไปๆ ขึ้นศาลา แล้วมาได้อย่างไรนี่ ใครพามา”
“๒-๓ คนนี้เป็นคนพามา เพราะเขาไปทานข้าวบ้านผม แล้วผมก็เอาหัวมันมา
เปลี่ยนข้าว เพราะบ้านผมน้ำท่วม”
“เออ แล้วรีบกลับนะ เพราะเขามาตามหาเราแล้ว”
“ผมก็ว่าจะมาแป๊บเดียว แล้วจะรีบกลับแล้ว หลวงตา”
“ที่นี้มันไม่แป๊บนะ” หลวงตาพูด เราคิดในใจ พูดแปลกอีกแล้วหลวงตา แล้วเรา ก็เดินไปที่ศาลาศาลาที่นี่เป็นคล้ายๆ ศาลาโบราณสวยมาก อาสนสงฆ์ดูคล้ายไม้สัก พระเณร ไม่รู้มาจากไหน เดินเข้ามานั่งในศาลา คนก็เดินเข้ามานั่งในศาลานี้แป๊บเดียวเต็มไม่มีใครพูดคุยกัน เงียบมาก ในศาลามีที่นั่งเป็นแถว เป็นแถวยาว มี ๓ ชั้น เขาก็บอก ว่าเพิ่นจะสวดมนต์แล้ว สวดเสร็จก็จะเทศน์ธรรมะ ถ้าฟังไม่เข้าใจก็ให้นั่งภาวนานะ พอ ท่านสวดมนต์เราฟังออก เรายังไปตำหนิเขาในใจว่า โอ้ยถ้าสวดขนาดนี้ เราสวดเจ๋งดีกว่านี้พอท่านสวดมนต์เสร็จท่านหันมาพูดว่า ถ้ามึงสวดเจ๋งดีจริง ทำไมมึงไม่สวดคนเดียวล่ะ ถ้าให้ผมสวด ผมสวดได้จริงๆ หลวงตา ถ้ามาเที่ยวหน้าผมจะสวดให้ฟัง เรายังไปเถียงท่านอีกนะ ถ้าหลวงตาไม่เชื่อนะ เอาอย่างนี้หลวงตา ผมจะสวดเท่าที่ผมสวดได้แต่ผมไม่กล้าสวดที่นี่ ผมยังอายญาติโยม ผมจะไปสวดที่บ้านผม วันพระผมจะสวดให้หลวงตาฟัง เอ้าไป กูจะนังกะละมังไปเลย ถ้ามึงไม่สวด ไม่ได้นะ มีเรื่องกับกูแน่ ท่าน ว่าอย่างนั้นนะ ครับๆ เราสวดได้อยู่แล้ว สวดมนต์แปลกับสวดอิติปโสแปลมันจะยากอะไรเราสวดได้สบายมากเราคิดว่าเราสวดได้ดีกว่านี้แน่ๆ แต่เราต้องอธิษฐานศีลก่อนสวดมนต์ถ้าไม่มีศีลเสียงไม่ดี แล้วท่านก็เทศน์ธรรมมะตามประสาของเพิ่น แต่เราฟังเทศน์ไม่ค่อยเข้าใจ เราก็นั่งภาวนาไป
พอเทศน์เสร็จแล้ว พวกเขาจะเดินลงจากศาลากันหมดเลย แล้วไปเดินสวน กันไปสวนกันมา ตามบ้านเขาจะเรียกอยู่ใครอยู่มัน คล้ายๆ กับประเพณีการละเล่น เอ้แต่จะเป็นการละเล่นได้อย่างไร คือเดินสวนกันไปสวนกันมา ที่ไหนได้คือการเดินจงกรมของที่นี่ สวนหลวงตาท่านก็จะมีทางเดินจงกรมของท่านข้างศาลา เพิ่นก็เดินของท่านอยู่ข้างศาลา นีแหละคือการละเล่น การละเล่นเพื่อเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิเปลี่ยนจิตให้สูงขึ้น เขาว่าอย่างนั้นนะ แล้วเขาก็บอกว่าใน ๑ ปี ไม่รู้จะนานขนาดไหนเขาจะมีประเพณีโบราณคือจะมีครั้งเดียวให้กินเนื้อสัตว์ได้หนึ่งวัน แล้วเขาก็บอกวันมาให้เรา (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์) เป็นวันที่เขาเปิดประตูนรก-สวรรค์ วันปล่อยผี ปล่อยสัตว์นรก เราก็บอกเขาว่าเราจะมาอีกถ้ามีเวลามา บ้านเราเขาเรียกวันตรุษจีน เสร็จแล้วเขาก็พากลับบ้าน ตอนจะพากลับบ้านเขาจัดข้าวใส่ตะกร้าให้ ๗ ใบ ใส่ในเรือให้เรียบร้อยแล้วเราก็ไปกราบยายกราบพ่อ-แม่เขา เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดเดิม มานั่งเรือเขาก็ไปส่ง เพิ่นบอกว่าให้ไปส่งจนถึงที่รับแล้วค่อยกลับมา เราก็พายเรือออกมา พอพายเรือมาถึงที่เขามารับ เขาก็ขึ้นฝั่ง เรามองไปบ้านเรา ต้องไปทางทิศนี้แน่นอน เราก็พายเรือต่อไป พอพายไปๆ โอ้เสียงไก่ขัน คนเต็มไปหมด เราก็พายเรือชมทุ่งชมบัวไปเรื่อยๆ เขาก็เรียก เอ้ยบุญเดช บุญเดช เราก็ตอบไป ครับ โอ้มึงจริงๆ หรือ เขาเอาเรือออกมาเป็นสิบ สิบลำมาหาเรา ๗ วันแล้ว หาเราไม่เจอ แต่ความรู้สึกของเรา คิดว่าไปเพียงวันเดียวเท่านั้นหนอ
เออ! ลืมเล่าตรงที่อาตมาไปอยู่ ๗ วัน ตรงนั้นเขาเรียกว่าป่าช้า สมัยก่อนมีหมู่บ้าน ๑ หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านขอมโบราณ ที่จมลงไปข้างห้วยทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านก็เลยไป ตั้งศาลตายายให้ เรียงเป็นแถวไปตามริมน้ำ นั่นแหละบ้านพวกเขาที่อาตมาเข้าไปอยู่พอกลับมาเวลาสวดมนต์คิดถึงท่านหลวงตา ท่านก็นั่งกะละมังมาเจ้นๆ ฟังอาตมาสวดมนต์ ขากลับท่านก็นั่งกะละมังกลับ มีอยู่วันหนึ่งท่านขึ้นไปนั่งบนหิ้งพระเลย ตัวท่านเล็ก นิดเดียวขนาดแก้วนี้ ตอนหลังรู้ว่าเพิ่นเคยเป็นลูกคิษย์หลวงพ่อพระอนุรุทธะ เคยสร้างบารมีมาด้วยกัน
พอเขาพายเรือมาถึงเรือของเรา เขาเห็นข้าวเต็มเรือ เขาบอกว่าโอ้ข้าวมันสวย ทีนี้เราก็เล่าเรื่องราวให้เขาฟัง เขาบอกว่าเราหายไป ๗ วันแล้ว แต่ว่าสัตว์เลี้ยงของเรา วัวทุกตัว ไก่ทุกตัวอยู่ครบ ไม่มีตัวไหนหายไป คุณครูก็มาตามหาเราด้วย คุณครูเห็น ว่าเราเป็นเด็กดี หายไปก็มาตามหาด้วย แต่ว่าไม่รู้ว่าดีขนาดไหน สั่งให้เราวิ่งรอบเสาธงทุกวัน บางวันก็ให้วิ่ง ๕ รอบ บางวันก็วิ่ง ๗ รอบบ้าง ๑๐ รอบบ้าง แล้วให้พูดว่าผมมาโรงเรียนสายครับๆๆ วิ่งไปพูดไป บางทีไปถึงเขาเรียนไปได้วิชากว่าแล้ว ไปถึงโรงเรียนประมาณ ๓-๔ โมงเช้า พอไปถึงก็เดินเข้าไปหาคุณครู ผมมารายงานตัวครับ เอ้ารู้หน้าที่ใช่ไหม ครับ เราก็วางกระเป๋าแล้วไปวิ่ง บางครั้งก็วิ่งรอบโรงเรียน บางครั้ง ก็โดนวิ่งรอบเสาธง ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งไปโรงเรียนสายมากขึ้น ไม่โดนคุณครูตีก็ดีแล้ว นั่นแหละทำให้เราเรียนหนังสือได้ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตั้งแต่ ป.๓-๔-๕ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งคือความจำเราดีมาก คุณครูสอนอะไรเราจะจำได้หมด อย่างคนคุยกัน เรานอนฟังเขาคุยอะไรกันทั้งคืน เราจำได้หมดทั้งคืนเลย พอเวลามีคนมาถามเราสามารถอธิบายได้หมดเพราะเรากินปลาเผากับส้มตำ แล้วกินไข่เป็นอาหารหลักทำให้สมองดี ตอนเล็กๆ เราทำงานหนัก ปลา ๑ ลังหนักกว่า ๒๐ กิโลกรัม เต่าอย่างนี้เราแบกได้สบายมาก”
๙ ขวบ นั่งภาวนาได้ทั้งคืน
มีตอนหนึ่งท่านเทศน์ว่า
“ต่อมาก็มานั่งภาวนา ตอนนั้น ๙ ขวบแล้ว รู้จักนั้งภาวนาแต่ภาวนามันก็ไม่ดีเหมือนตอนนั่งอยู่กับหลวงปู่ขาว ตอนนั้นนั่งภาวนาแป๊บเดียวจิตสงบเงียบ สบาย แต่นี่น้านนาน แต่รู้สึกว่าสบายเฉยๆ แต่ก็นั่งภาวนาได้ทั้งคืน มันมีความ รู้สึกอีกอย่างหนึ่งว่า วันที่นั่งภาวนาเสร็จแล้วไปหาอะไรมาทำเป็นอาหาร ก็ไม่ได้กิน มัน รู้สึกว่าเหมือนบุญกับบาปมาชนกัน ก็เลยไม่นั่ง ถ้าวันไหนไม่นั่งไปหาก็ได้กิน แต่ก็ต้อง ลืมศีลข้อนั้นๆ ด้วย ต้องหันหน้าไปวัดโน้น แล้วก็วัดนี้ แล้วยกมือไหว้หลวงตาครับ เอา ศีลคืนไปก่อนนะครับ ผมขอไปทางนี้ก่อน ตอนนั้นต้องเรียกว่ามารที่สุด ได้ปลามาเยอะมาก วิธีจับปลาดุกปลาซ่อนนะง่ายจะตาย เราต้องมีปัญญาเก่งกว่ามัน ปลาไหลก็จับง่าย จับกลางวันก็ได้เลือกเอาเลย แต่ต้องใช้ปัญญา ปลาพวกนี้ชอบของสกปรก เราเอาของสกปรกไปหมักไว้ แล้วไปหลอกมัน พวกมันจะตามไปนอนรอเราอยู่กองเต็มไปหมดตอนเช้ามาเราก็ไปจับ แต่ต้องใช้ปัญญา แต่ไม่บอกนะว่าใช้ปัญญาแบบไหน เพราะ ปัญญาแบบนี้ทำให้สัตว์ตาย ปลาชะโด ปลาไหล นกเป็ดน้ำนี่จับเป็นๆ เลย
นกเป็ดน้ำสมัยก่อนตัวละ๓ บาท แต่ไข่มันถูกฟองละ ๕ สตางค์ สูงสุดก็ ๑๐ สตางค์ พอรู้ว่ามันจะฟักไข่นะ มันไม่หนีมันหวงไข่ มันจะอยู่ตามชายป่า ชายน้ำ เราทำเป็นมองไม่เห็น มันกำลังวางไข่ เราก็ไปเอาเรือพร้อมเตรียมตะกร้าไปใส่ไว้แล้วล่ะ พอไปใกล้ๆ เราแกล้งหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นเฉย ไม่เห็นมัน แล้วหันกลับไปจับปั๊บที่คอมันทันที อย่าไปสบตามัน ถ้าไปสบตามันมันจะรู้ เสร็จเราทันทีเลย บางที่เขาตัดคอเอาคอเอา หัวมันไปทอด เอาตัวมันไปต้ม เวลาเขาเอาไปทอดกระเทียมพริกไทยนี่เราได้กลิ่นเลย เวลาเขาถอนขนมัน เราเอามือมาลูบแขนตัวเอง ขนแขนตัวเองนี่หลุดเลย สงสัยมันเป็นกรรมที่เราทำกับนกเป็ดน้ำนี่แหละ ขนเราหลุดหมดเลย (จนหลวงพี่เปี๊ยกบอกว่าเราเป็นกระเทยหรือเปล่านี่ไม่มีขนเลย)”
ตอนหนึ่งท่านเล่าว่า “แต่ตอนที่คิดอยากจะบวชมันร้อน มันร้อนเพราะอะไร ปลา ที่เราขายไป เขาเอาไปทำอะไรเรารู้หมด สมมติเขาเอาไปทอด เราจะได้กลิ่นน้ำมันทันทีสมมติเขาเอาไปต้ม อย่างปลาไหลไปทำต้มเปรต เราจะได้กลิ่นหอม แต่เราร้อนมาก รู้ว่าปลาทุกข์ทรมานมากกว่าจะตาย เรานี่ทำไมเกิดมาสร้างเวรสร้างกรรมขนาดนี้ ก็มา คิดดูว่าเราเก็บเงินมา ๖-๗ ปี ได้เงินมา ๓ หมื่นกว่าบาท เราแทนที่จะไปอยู่ที่ไหนที่มันร่มเย็น
พอหลับตาไปก็มองเห็นพระหลวงตาที่เคยอบรมสั่งสอนเรา เพิ่นอยู่อย่างเงียบสงบ จีวร ท่านก็สวย ทำไมเราไม่ไปอยู่กับท่าน เพศสมณะนี้เป็นเพศที่สงบระงับ เป็นเพศที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีแต่คนอื่นหามาให้กิน คิดไปอย่างนั้น เราเริ่มรู้ว่าตัวเองนี้ร้อนเพราะอะไรร้อนเพราะว่าสัตว์ที่เราขายไป เราเอาชีวิตเขา แล้วหลานก็จะต้องเริ่มเรียนหนังสือเอ๊ะจะทำอย่างไรดี เลยไปปรึกษาหลวงตาวัดบ้านก่อน ท่านก็บอกว่ามีสมบัติอะไรก็แบ่งให้หลานซะ แล้วเอาไปคืน ไปส่งพ่อแม่เขาหรือไม่ก็ไปเรียกพ่อแม่เขามารับไป แต่หลานเขาไม่อยากไปเพราะพ่อแม่เขามีพี่มีน้องหลายคน เราก็เลยบอกว่า อยู่ไม่ได้หรอกเราก็เรียกมาประชุมกัน เรียกพ่อแม่ญาติพี่น้องมาประชุม คือถ้าให้เขากลับไปเฉยๆ เขาไม่รับหรอก เขาอยากให้อยู่กับเรามันสบาย
ข้าวนี่นะมันมีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง แต่ไม่เล่าให้ใครฟังหรอก คือข้าวที่เขาให้มา ๗ ตะกร้า คน ๘ คน กินหนึ่งปียังไม่หมดเลย ขนาดกินจุน่าดู สมมติว่าข้าวเหนียวเวลาเอาไปนึ่งจะต้องแช่น้ำก่อน เวลาตักข้าวเหนียวไปแช่ใส่ไปมาก มันก็พองขึ้นเต็มกระป๋องใส่ไปน้อยมันก็พองขึ้นเต็มกระป๋อง ตอนหลังเรารู้วิธี ใช้หลานสาวหยิบใส่วันละแค่กำมือเดียว ไปแช่ มันก็พองขึ้นเองเต็มกระป๋อง เราก็แปลกใจข้าวเราไม่หมดแน่ ชะรอยเราต้องรีบหนีก่อนที่ข้าวจะหมด แต่ว่ามันก็ไปไม่ได้หรอก ได้แต่คิดเอาไว้เฉยๆ เพราะ มันยังอีกหลายปีเน้อแล้วเราก็ยังเรียนหนังสืออยู่”
๑๑ ขวบ ศรัทธาหลวงปู่ฝั้น
จากที่ท่านเล่าว่า “ตั้งแต่ ๖ ขวบจนถึง ๑๑ ขวบ ยังไม่ออกจากโรงเรียน แต่ว่าไม่คิดอยากจะเรียนแล้ว เพราะว่าเจอหลวงปู่ฝั้นแล้วทีนี้ มาเจอหลวงปู่ฝั้นเดินทางจะขึ้นไปทางอุบล เดินผ่านพอดี ก็เลยเห็นความสง่างามของหลวงปู่ฝั้นและหมู่คณะของท่านพร้อมทั้งพระเณร ทีนี้พอเดินผ่านทุ่งนา พอเดินผ่านไปเห็นความสง่างามของท่าน ก็เลยคิดว่า โอ้ ! เรานี้บาปจริง ๆ นะ ปลาก็ไปขาย นกก็ไปขาย แต่มันก็ดีอย่างหนึ่ง ตอน ๑๑ ขวบนี่ มีกระบืออยู่ ๖ ตัวพอดี หลานก็มีอยู่๖ คนพร้อมกับเงิน ๓ หมื่นที่เก็บสะสมไว้ ๖ ปี อ้อ ๔๐ กว่าปีที่แล้วนี่ ๓ หมื่นนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ เด้อ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่พันเดียว ก็เลยแบ่งให้หลาน หลานเอ๋ยกูสลดใจแล้ว ไปแล้วเราไม่อยากอยู่แล้ว โยมพ่อโยมแม่เขากลับมาอยู่ด้วยกัน เขาก็ย้ายไปอยู่กาฬสินธุ์โน่น เขาก็ไม่มาดูแลเรา ก็เลยคิดว่าเห็นสามเณรน้อยนั่งสวดมนต์ แล้วเขาก็นั่งภาวนาเงียบ เอ้ มันดูท่าทางดีมีความสุขเฮะเหมือนอิคิวชัง ไอ้เรานี่โอ้มีแต่ไปจับสัตว์ไปขาย อาตมาขายที่ตลาดอำเภอเสลภูมิแล้ว ก็มาขายที่ตลาดธวัชบุรี ขายดีที่สุด เพราะเป็นคนพูดเก่ง เจอหน้านายเมียทหาร ตำรวจคนที่มีเงินหน่อย คุณพี่ครับ คุณแม่ครับซื้อให้ผมหน่อย แล้วแต่จะให้ เพราะผมเลี้ยงหลาน ๖ คน ผมพูดจริงๆ ถ้าถือไม่ไหวผมจะไปส่งถึงบ้าน ไม่รู้บ้านเขาอยู่ไหน เขาบอกเป็น กิโลไปไหวเหรอไหว ขอให้ซื้อหมด ก็ไปส่งจริงๆ เขาก็ซื้อให้หมด”
๑๒ ขวบ แบ่งสมบัติคิดออกบวช
ท่านเทศน์ให้ฟังต่อว่า
“ก็คิดได้อยู่ว่าทำไมนั่งภาวนาไม่ได้ ก็คิดอยู่แต่ว่าเราจะ ต้องไปบวช เราจะต้องไปบวช ก็พยายามเก็บเงินสะสมจนอายุ ๑๒ ขวบ ก็เลยขายวัวแล้วแบ่งเงินมาซื้อที่นา ปัจจุบันที่นาของอาตมายังอยู่เลย แต่แบ่งให้น้ากับหลาน เหลือเงิน ๓ หมื่นบาทก็แบ่งให้หลานคนละ ๒ พันบาท แล้วแบ่งวัวคนให้ละ ๑ ตัว แล้วส่ง คืนพ่อแม่เขาให้เงินเขาไปเรียน เหลือหลานอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชายอยู่กับยาย เราก็ออกบวช ก่อนออกบวชไปกราบลาคนที่เขามีบุญคุณ ไปกราบภูมิเจ้าที่ เราสัมผัสได้ว่าเขาดีใจ”และอีกตอนหนึ่งท่านเล่าว่า “นั่นแหละก็ได้เงินแบ่งให้หลานคนละ & พัน หลังจากนั้นก็เข้าวัด เข้าวัดไปอยู่กับหลวงตาก่อน หลวงตาบอกว่า หลวงปู่ฝั้นี่เพิ่นเป็นพระธรรมยุต ถ้าจะไปหาท่านต้องไปฝึกอีกวัดหนึ่งก่อน เขาเรียกว่าวัดป่าอาศมาส ไป ฝึกวัดนั้น ถ้าได้บวชที่นั่นถึงจะไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้นได้ พอดีบุญอะไรก็ไม่รู้ หลวงพ่อสมชายมาที่ร้อยเอ็ด เราก็เป็นผ้าขาวน้อยโกนหัว ก็เลยตามครูบาอาจารย์ไป เห็นเพิ่นขี่รถแวนอย่างโก้เลย หลวงปู่นี่ทำไมสบายจังเลย โอ้ถ้าเราไปอยู่กับหลวงปู่เราคงได้ขี่รถแวน ว่าไป เกิดความอยากไปอีก เกิดกิเลสไปอีก แต่ก็คิดไปเฉยๆ พอคิดอย่างนั้นปั๊บหลวงปู่เดินมาปั๊บมาจับหัวปั๊บเลย ผ้าขาวน้อยถ้าบวชเมื่อไหร่แล้วไปอยู่กับหลวงพ่อนะเฮ้ยหลวงตานี่รู้จักเราคิดอะไรไว้ด้วยเด้อ เป็นพระอรหันต์หรือนี่ คิดเฉยๆ เพราะได้ยินหมู่คณะครูบาอาจารย์พูดว่าหลวงพ่อสมชายนี่เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เกิดความอยากไว้ก่อน แต่ว่าที่อยากแน่ๆคืออยากนั่งรถแวน รถแวนสมัยนั้นโอ้มันเท่ห์ดีคิดว่าได้นั่งคงไม่เมื่อย นั่งทั้งวันก็คงจะไม่เมื่อย เดี๋ยวนี้โอ้ย มองเห็นรถแวนก็ไม่สนใจขนาดเห็นเครื่องบินก็ไม่สนใจ โอ้ยถ้าไม่ใช่หลวงพ่อนวลไม่มาหรอก ไกลป่านนี้ โอ้ยเมื่อยก็เมื่อยเนอะ ข้ามน้ำข้ามทะเลไม่ใช่ของง่ายปานใดเด้
เราอยู่เป็นผ้าขาวกับหลวงปู่ทองสา๓ เดือนก็ได้บวช ใครจะมาชวนกลับไปเรียน ก็ไม่ไป เพราะอะไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น มีอยู่วันหนึ่งขังปลาเอาไว้ ที่นี้พอครบอาทิตย์พอถึงเสาร์อาทิตย์เอาไปขายได้ พอขายเสร็จแล้ว มานอน ตัวเจ้าของมานอน ร้อน ร้อน ทั้งๆ ที่ฝนตก เอ๊ะทำไมมันร้อน หลับปั๊บ ฝันปี๊บทันที ฝันว่าปลาพวกนั้นนี่เขากำลังจะอาไปต้ม พอต้มน้ำเดือดปุดๆ แล้วก็เทน้ำมะนาวใส่ แล้วก็เอาปลานั้นทลง โอ้โห ปลาที่เราขายไปให้เขานี่ เขาเอาไปต้มนี่ ปลาไหลตัวเท่าแขนนี่ เขาเอาไปต้มเด้ ต้มให้มันเปื่อยๆ ใส่ใบมะขามใส่น้ำมะนาวนี้มันอร่อยแท้ๆ แต่อย่าไปทำเน้อ สงสัยพวกที่นั่ง นี้เคยทำละนี่ นั่นละมันร้อน โอ้โหปลาไหลตัวนี้นั่นเอง ทำให้เราร้อน ก็ยังไม่เชื่อ พออยู่มาอีกวันที่สอง ร้อนอีก ฝันอีก ฝันว่าปลาซ่อนทีนี้ ปลาซ่อนเขาเอาดินเหนียวปิด ล้อมตัวมันแล้วก็โยนเข้ากองไฟ คิดดูก็แล้วกันว่าเอาถ่านปิด พอเอาถ่านปิดปี๊บ กว่า มันจะตาย มันจะทรมานขนาดไหน ขี้แตกขี้แตนละเน้อ พวกเราลองเข้าเตาถ่านธรรมดาทุกข์ทรมานก็แรงแล้ว โอ้ยไม่ไหวแล้ว ชีวิตที่จะเย็นกว่านี้ไม่มีหรือ ก็มาคิดถึงเณรน้อยที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น นั่งภาวนาอยู่ เพิ่นนั่งภาวนาสบ้ายสบาย ชีวิตของสามเณรนี่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ปลาก็ไม่ได้ฆ่า ปลาไหลก็ไม่ได้ฆ่า นกก็ไม่ได้ฆ่า ไฉนเลยคงจะสบายกว่าชีวิตที่เรอยู่แบบนี้ มันไม่มีความสุขหรอก เพราะมันร้อน ร้อนไปทั้งตัวนอนไม่หลับ
พอคิดว่าก็เป็นเณรชิ คิดปี๊บ มันเห็นภาพปั๊บ นั่งอยู่ในถ้ำที่ไหนไม่รู้ อ้อ เงียบสบาย เบา เย็น แต่มองดูข้างล่าง มองไปข้างล่างนี่ โอ้ พระเณรหมู่คณะ เป็นชั้นๆ เป็น ผ้าขาว เป็นผ้าเหลือง เป็นอะไร เป็นชั้นๆ แต่เรานั่งอยู่คนเดียวปั๊บ โอ้มีความสุขจังเลย คิดเฉยๆ ก็เลยคิดว่าเพศของสมณะนี่เป็นเณรคงจะมีความสุขมาก บวชดีกว่า ยายอาตมานี่ตอนตาย แกรู้จักวันตายด้วยเด้ ยายแกตายเมื่ออายุ ๘๙ ปี ตายได้ ปีแล้วธาตุของแกนี่อาตมาเอาไว้หลังกุฏิเลย แกบอกว่าถ้าตายแล้วก็ให้ทำสถูปแกไว้ตรงนี้ เอาไว้อยู่หลังกุฎิอาตมา กระดูกท่านนะ นั่นแหละเลยได้บวช พอเอวังแล้วท่านพี่”
ที่มา: หนังสือชีวประวัติ พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช พิมพ์ครั้งที่ ๔: กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
*โดยได้รับอนุญาตเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ จากพระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช (ผู้เผยแพร่: ปอนด์)