พระอรหันต์นามอนุรุทธะเมตตามาโปรด
พระอาจารย์บุญเดช ญาณเตโช วัดถ้ำแสงธรรม (ภูลังกา) จ.บึงกาฬ
ภายหลังจากพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ภาคตะวันออก อบรมจิตเพื่อให้ถึงธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จนครบสามพรรษาเต็ม พระอาจารย์บุญเดชจึงได้วิเวกมาทางอีสานพำนัก ณ ขุนเขาเขตภูวัว เป็นต้น จากนั้นจึงได้วิเวกมาทางอำเภอผาขาว จังหวัดเลย พำนักอยู่ในป่าเขาห่างจากหมู่บ้านสามกิโลเมตร เพื่อใช้อาศัยออกบิณฑบาตพำนัก ณ ดินแดนที่สัปปายะจริตถูกกับสถานที่ จึงใช้เวลาและโอกาสแห่งธรรมชาติที่เงียบสงบบำเพ็ญจิตสมณธรรม ทำความพากเพียรห้ำหั่นฉุดกระชากกิเลสให้ออกจากจิตเพื่อให้จิตถึงธรรมให้ธรรมถึงจิต ด้วยจิตธรรมยืน เดิน นั่ง เท่านั้นในอิริยาบถทั้งกลางวัน กลางคืน ตั้งสัจจะอธิษฐาน สาธุข้าพเจ้าขอบูชาแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ด้วยการบำเพ็ญทำความเพียรไม่นอนสามเดือน
ภายหลังจากตั้งจิตอธิษฐานจิตสัจจะเป็นเดิมพันกับการสู้รบปรบมือกับกิเลสที่พอกพูลในจิตใจ ฝึกสติด้วยการอดนอนไปได้สักระยะ ปรากฏว่าได้ล่าถอยแพ้ต่อกิเลสในคราวนี้ ผิดสัจจะ ต้องนอนเพราะเกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จึงพิจารณากายจิตก็ได้มองเห็นเส้นเลือดที่ต่อจากหัวใจส่งไปหล่อเลี้ยงสมองบริเวณท้ายทอยมีเส้นเลือดเส้นหนึ่งตีบตัน อดทนฝืนไม่ยอมนอนก็มีอาการปวดศีรษะอย่างมาก พิจารณาหาหนทางแก้ไขไม่พบจึงต้องมานอนในลักษณะท่าแบนราบเพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้าที่เดิม ขณะอยู่ในอิริยาบถนอน สติก็ยังสมบูรณ์ รู้ตัวตลอดเวลาอาการทางกายหลับแต่จิตใจ สติ ก็มิได้หลับไปพร้อมกับธาตุขันธ์
ขณะนั้นก็ได้ทราบทางจิตสมาธิพบพระภิกษุรูปหนึ่งมีรูปร่างผิวพรรณงดงามผุดผ่อง ผิวคล้ายสีไข่ไก่ รูปร่างสันทัดหน้าตาเรียว คล้ายวงรี นุ่งห่มจีวรสีแก่นขนุน มาแสดงตนให้ทราบทางสมาธิจิตแนะนำตนให้ทราบว่า ท่านคือพระอนุรุทธะ พระอรหันต์สมัยพุทธกาลลงมาโปรด พระอาจารย์บุญเดชทราบดังนั้นจึงลุกขึ้นนั่งสมาธิต่อหน้าพระอนุรุทธะที่ท่านเมตตามาพบทางจิตสมาธิ เมตตาอบรมจิต “การเดินจิตดักจิตเดินสตินั้นจะต้องมีให้จิตเข้าไปในสมาธิ อย่าให้จิตเข้าไปในสมาธิ อย่าให้จิตเข้าไปในสมาธินางเกินไป พอได้เวลาสมควรต้องเดินจิตพิจารณาธรรม ก็คือธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราได้ยินด้วยหู ได้เห็นด้วยตา งานของพระอริยประเภทที่ยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ คืองานละกิเลสนะลูก แต่การละกิเลสนี้ไม่จำเป็นต้องยืน เดิน นั่งหรือทรมานร่างกาย ถ้าเราปฎิบัติถูกกับจริต ยืน เดิน นั่งก็ให้เอาจิตนั้นเป็นหลักธาตุขันธ์อำนวยก็สู้ต่อไป แต่ถ้าไม่สู้ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ตั้งสัจจะไว้ว่าจะนอนเท่าไหร่เมื่อรู้ตัวให้ลุกขึ้นมาทันที” พระอนุรุทธะเมตตาอบรมพระอาจารย์บุญเดชทางสมาธิพอสมควรแล้วท่านก็อำลาจากไป
ต่อมาพระอาจารย์บุญเดชได้สติจึงได้ตั้งสัจจาสู้กับการฝึกฝนอบรมจิตด้วยอิริยาบถสามคือ ยืน เดิน นั่ง เมื่อธาตุขันธ์อดทนต่อการนอนจนครบสามเดือน พิจารณากายก็เริ่มเห็นกระดูกตัวเองหลังจากนั้นจึงวิเวกกลับมาทางป่าเขาเขตภูวัวก็ได้ทราบทางจิตสมาธิพบท่านพระอนุรุทธะอีก ในครั้งนี้ท่านได้เมตตามาเตือนทางสมาธิจิตแก่พระอาจารย์บุญเดชใจความว่า “อย่าเผลอขาดจากสติ ในช่วงนี้เราสติอ่อน อย่าเพิ่งนอน อย่าหลงขาดสติ อย่าหลงตัวเอง น้อมจิตเข้าข้างในกายแล้วพิจารณาอสุภกรรมฐาน พระสงฆ์ที่จะมีบารมีธรรม ได้ภูมิธรรมเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องพิจารณาจนเห็นกระดูกในร่างกายของตนเองครบสามร้อยท่อนเต็ม จึงจะมีวาสนาเต็มภูมิระดับทำพระอรหันต์ได้นะลูก” ท่านพระอนุรุทธะเมตตาอบรมจิตแล้วท่านก็จากไป
ในคราวนั้นพระอาจารย์บุญเดชได้ไปนั่งสมาธิอยู่บนโขดหิน ด้านหน้ามีหนองน้ำใหญ่โดยรอบ บริเวณโป่งช้างภูวัว วันนั้นพระอาจารย์บุญเดชได้นั่งสมาธิมีโขลงช้างฝูงหนึ่งพากันออกมาจากป่าภูวัวได้พบพระอาจารย์บุญเดชอยู่เป็นประจำขณะนั่งสมาธิมาคราวใดก็พบเห็นนั่งสมาธิบำเพ็ญจิตให้ถึงธรรม ช้างมาด้วยกันประมาณห้าเชือก มันได้ส่งภาษาคุยกัน ขณะนั้นพระอาจารย์บุญเดชได้กำหนดฟังเสียงภาษาช้างก็ทราบความหมายช้างได้สนทนากันว่า “พระแบบใดหนอจึงเอาแต่นั่ง มีแต่นั่งกับนั่ง พวกเราเดินผ่านมานี่ทำไมจึงเย็นสบายดีแท้ นอนบริเวณนี้เป็นอย่างไรพวกเรา เราจะนอนตรงนี้แหละ” ช้างเพศเมียเชือกนั้นตาบอดได้บอกกับลูกของตนให้ทราบ ดังนั้นฝูงช้างโขลงนี้จึงได้พากันนอนพักผ่อนอยู่ข้างๆกุฏิของพระอาจารย์บุญเดชประมาณสามถึงห้าวา
วันต่อมาพระอาจารย์บุญเดชเดินจงกรมในช่วงสี่โมงเย็นแล้วเขานั่งสมาธิบำเพ็ญจิต วันนี้ไม่มีโขลงช้างมาเยือนป่าภูวัวเป็นป่าหนาทึบ ขนาดนั้นพระอาจารย์บุญเดชอยู่เพียงลำพังผู้เดียวบำเพ็ญสมาธิบนโขดผลาญหินหน้าหนองน้ำใหญ่ก็ได้เงี่ยโสตทวารเมื่อได้ยินเสียงสุภาพสตรีดังเข้าในโสตทวารมีความไพเราะเพราะพริ้งรัญจวนจิตให้พะวงหวนถึงต้นตอของเสียงสตรีกำชับจิตพระอาจารย์บุญเดช ก็ได้ทราบน้อมรำลึกถึงคำสอนของพระอนุรุทธะขนาดนั้นก็ได้ยินเสียงอยู่ใกล้ๆตูมตามตูมตามเป็นเสียงของคนกำลังอาบน้ำ พระอาจารย์บุญเดชจึงคิด “ลูกใครหนอมาคำปานนี้” สักพักก็มีเสียงเรียกดังขึ้นพระอาจารย์บุญเดชคิดในใจ “เรียกใครหนอ” ก็ได้ยินเสียงไพเราะตอบออกมาว่า “เรียกหลวงพี่นั่นแหละ” พระอาจารย์บุญเดชก็เริ่มแปลกใจเสียงใครหนอถ้าอย่างนั้นเรามีชื่อว่าอะไรพระอาจารย์ถามออกจากจิต ชื่อหลวงพ่อบุญเดช มามา อาบน้ำด้วยกันพวกดิฉันจะถูขี้ไคลให้ เสียงหวานไพเราะจากสตรีลึกลับเอื้อนเอ่ย พระอาจารย์บุญเดชจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นเพ่งมองไปข้างหน้าก็เห็นหญิงสาวจำนวนสร้างนางไม่ได้นุ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆเปลือยกายล้อนจ้อนต่อหน้าต่อตาของพระอาจารย์บุญเดช “ตาย เราตายแน่คืนนี้” เมื่อได้เห็นดังนั้นจึงได้หลับตาลงปั๊บแล้วน้อมระลึกถึงธรรมที่ท่านพระอนุรุทธะมาอารมณ์จิตเมื่อคืนนี้ “อย่าได้หลงสติ” ขณะนั้นใจของพระอาจารย์บุญเดชอยากจะกระโจนลงจากโขดหินเพื่อไปอาบน้ำกับพวกหญิงสาวชาวลับแลที่ได้เตรียมสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ไว้ให้แล้วแต่ด้วยเดชะเมตตากรุณาจากท่านพระอนุรุทธะ ท่านได้อบรมเตือนสติแก่พระอาจารย์บุญเดชญาณเตโชก่อนหน้านี้ จึงไม่หลงกิเลสมารที่มันลวงอันเป็นศัตรูต่อเพศพรหมจรรย์
ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ ขณะที่พระอาจารย์บุญเดชบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ถ้ำภูวัว ท่านได้นิมิตเห็นแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาจากเทือกเขาลูกหนึ่งคือ เทือกเขาภูลังกา ท่านก็นึกแปลกใจ “แปลกโวยผู้ลูกหนี้ทำไมแปลกแท้” ในสมาธิจิต ท่านได้มองเห็นเป็นถ้ำมีก้อนหินยื่นออกมาไม่ใหญ่โตเท่าได้นัก เหนือขึ้นไปข้างบนทำจะเห็นเป็นก้อนหินใหญ่ (ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระทศพลญาณ) ในนิมิตทันได้เห็นองค์พระพุทธรูปปางประทานพร (ในช่วงนั้นยังไม่มีพระพุทธรูปพระทศพลญาณ) แต่ภายในถ้ำที่เห็นอยู่นั้นมีเพียงองค์พระพุทธรูปองค์เขียวอยู่ในถ้ำ เมื่อทราบเห็นพระพุทธรูปปางประทานพรก็ได้รับสัมผัสรัศมีคุณธรรมขององค์พระพุทธรูปเมตตาอบรมให้พระอาจารย์บุญเดชทราบใจความว่า “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว” พอองค์พระพุทธรูปพุ่งกระทบครอบคลุมกายพระอาจารย์บุญเดชจนรู้สึกเย็นสบาย ภายหลังจากนั้นพระอาจารย์บุญเดชจึงได้เดินทางวิเวกจากภูวัวมาสู่ดินแดนภูลังกา ภายหลังจึงได้มีคณะศรัทธาญาติธรรมจากจังหวัดนครราชสีมา นำองค์พระพุทธรูปทศพลญาณ มาถวายและได้รับการตั้งนามให้โดยท่านหลวงพ่อพุธ ฐานิโย