โดย พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธัมมธโร)
๗ สิงหาคม ๒๕๐๑ ณ วัดอโศการาม
ในการนั่งภาวนาให้ทำลมให้แคบที่สุด อย่าให้จิตไปอยู่นอกตัว ถ้าเราเอาจิตไปอยู่กับคนอื่นสิ่งอื่น เราก็จะต้องได้รู้แต่เรื่องของคนอื่นสิ่งอื่น ส่วนเรื่องของตัวเองก็เลยไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรเลย เราอยู่ใกล้กับสิ่งใดจะต้องสนใจกับสิ่งนั้น เราอยู่ใกล้คนใดก็จะต้องสนใจกับคนนั้นให้มากที่สุด คนใดนั่งใกล้เราต้องสนทนาปราศรัยกับเขา อย่านั่งเป็นใบ้ ทำความคุ้นเคยสนิทสนมกับเขาไว้ ถ้าเราไม่พูดคุยทำไมตรีกับเขาไว้บ้าง เขาก็จะต้องไม่ชอบเราและกลายเป็นศัตรูของเราไป
นี้ฉันได้ เรื่องร่างกายของเรานี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุเหล่านี้ก็ย่อมเปรียบเหมือนกับญาติหรือมิตรสหายของเรา เพราะเรานั่งนอนยืนเดินไปทางไหนเขาก็ติดตามเราไปทุกแห่ง ฉะนั้น เราต้องทำสนใจทำความรู้จักคุ้นเคยกับเขาไว้ให้มากกว่าคนอื่น เมื่อสนิทสนมกันแล้วนานๆ ไปเขาก็จะรักเราและช่วยเหลือเราได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเรามีมิตรที่ดีและซื่อตรงเช่นนี้เราก็ยอมจะปลอดภัยและมีความสุข
ถ้าเรารู้เรื่องธรรมดาของโลกแล้วรู้จักความเป็นจริงของธรรมแล้วเราก็จะไม่ต้องมีความยุ่งยากในการเป็นอยู่เรื่องภายนอกนั้น ถึงเราจะศึกษาให้มีความรู้สักเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ สู้การเรียนรู้จิตใจของตนอยู่ภายในวงแคบนี้ไม่ได้
เรื่องของโลกยิ่งเรียนก็ยิ่งกว้างเรื่องของธรรมยิ่งรู้ก็ยิ่งแคบ แล้วรู้แคบเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถ้ารู้กว้างออกไปมักฟุ้งซ่านเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเดินไปในหนทางที่แคบ ย่อมจะไม่มีใครกล้าเดินสวนทางเข้ามาชนกับเราได้ ส่วนคนเดินตามหลังนี้ช่างเขา เมื่อไม่มีใครสวนทางเข้ามาข้างหน้าแล้วคนที่จะเดินบังหน้าเราก็ไม่มี เราก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าออกไปได้ไกลที่สุด ฉันใด ผู้ทำจิตให้แคบเข้าละเอียดเข้าก็จะเกิดความวิเวกสงบ เกิดแสงและเกิดวิปัสสนาญาณ มองเห็นอดีต อนาคตและปัจจุบันได้ทุกอย่าง เหตุนั้นท่านจึงว่าผู้มีวิปัสสนาญาณเป็นผู้มีสายตาอันไกล คนที่ส่งจิตออกไปอยู่นอกตัวเปรียบเทียบกับคนที่เดินไปตามถนนกว้าง ถนนกว้างนั้นอย่าว่าแต่คนจะสวนทางเข้ามาได้เลยแม้แต่สุนัขและสัตว์ตัวโตๆ มันก็เดินสวนเข้ามาได้
ฉะนั้น จึงไม่ปลอดภัย จิตผู้นั้นก็จะมีแต่ความฟุ้งซ่านเต็มไปด้วยนิวรณธรรมหาความสงบมิได้
การทำจิตให้แคบเปรียบอีกอย่างนึงก็เหมือนกับการขุดหลุม ถ้าเราขุดหลุมเล็กๆ ก็ย่อมจะขุดได้ลึกและเร็วกว่าหลุมกว้าง ความเหน็ดเหนื่อยก็มีน้อย กำลังก็ไม่สึกหรอ ย่อมได้ผลดีกว่ากันหรือจะเปรียบอีกอย่างนึงก็เหมือนกับแม่น้ำที่กว้างมาก ก็มักไหลช้าและไม่แรง ถ้าแคบก็จะไหลเร็วและแรงด้วย หรือน้ำฝนที่ตกลงในที่กว้าง ย่อมกระจายไปทั่วในที่ต่างๆ น้ำก็จะไม่ขังในพื้นที่เหล่านั้นได้เท่าไหร่ ถ้าตกลงมาเฉพาะในที่นาแห่งใดแห่งหนึ่งแต่เพียงแห่งเดียวแล้ว มิช้าก็อาจจะท่วมท้นหัวคันนาได้ ฉันใดอำนาจแห่งจิตก็เช่นเดียวกัน ถ้ายิ่งแคบและละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีกำลังแรงและคุณภาพสูงยิ่งขึ้น
ฉะนั้นท่านจึงสอนให้เอาจิตมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมเท่านั้น มันจะไม่ดี จะโง่ จะมืด จะหนาอย่างไรก็ช่างมัน มุ่งดูลมอย่างเดียวจนจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ ต่อไปความรู้ก็จะผุดขึ้นในตัวของมันเองไม่ต้องไปนั่งคิดถึงว่าอะไรมันจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความรู้เค้าจะบอกเรื่องราวเหล่านี้แก่เราเองอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ไม่ใช่ความรู้ตามสัญญาที่ได้ยินเขาบอกเล่าแต่เป็นความรู้ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาปัญญา
จิตและลมของเรามีอยู่ถึง ๕ ชั้น
ชั้นที่ ๑ ลมหยาบที่สุดก็ได้แก่ลมที่เราหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” อยู่ขณะนี้
ชั้นที่ ๒ ลมที่หายใจผ่านลำคอเข้าไปแล้วเชื่อมต่อกับธาตุต่างๆ ภายในให้เกิดความสบายหรือไม่สบาย
ชั้นที่ ๓ ลมหยุดนิ่งอยู่กับที่หมด ไม่วิ่งไปมา ทุกๆ ส่วนในร่างกายที่เคยวิ่งขึ้นบนลงล่างก็หยุดวิ่ง ที่เคยไปข้างหน้ามาข้างหลังก็ไม่ไปไม่มา ที่เคยพัดในลำไส้ก็ไม่พัด หยุดนิ่งสงบหมด
ชั้นที่ ๔ ลมที่ทำให้เกิดความเย็นและเกิดแสง
ชั้นที่ ๕ ลมละเอียดสุขุมมากจนเป็นปรมาณู แทรกแซงไปได้ทั่วโลก มีอำนาจ ความเร็วและแรงมาก
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี้ก็อยู่อย่างละ ๕ ชั้นเหมือนกัน เช่น เสียงหยาบชั้นที่ ๑ก็ได้แก่ เวลาที่จะพูดจบแล้วดับไป ชั้นที่ ๒ พูดไปแล้วยังดังอยู่ถึงสองถึงสามนาทีจึงจะดับ ชั้นที่ ๓ อยู่ได้นานมากแล้วจึงจะหายไป ชั้นที่ ๔ พูดแล้วได้ยินถึงพรหมโลก ยมโลกและชั้นที่ ๕ เป็นเสียงทิพย์ พูดแล้วได้ยินอยู่เสมอ พูดร้อยครั้งก็มีอยู่ทั้งร้อยครั้ง เสียงไม่สูญไปจากโลกเพราะอำนาจแห่งความละเอียดจึงสามารถแทรกแซงอยู่ได้ทุกปรมาณูในอากาศ
ฉะนั้นท่านจึงว่ารูป รส กลิ่น เสียง ไม่สูญไปจากโลก เพราะโลกนี้เปรียบเหมือนกับจานเสียงที่อัดเสียงอะไรๆ ไว้ทุกอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง หรือกรรมดีกรรมชั่วอันใดก็ดี ที่เรากระทำไว้ในโลก มันย่อมจะย้อนกลับมาหาเราเมื่อตายทั้งหมด
เหตุนั้นท่านจึงว่า “บุญบาป” ไม่สูญหายไปไหนคงติดอยู่ในโลกนี้เสมอ จิตละเอียดที่สุดซึ่งเปรียบเหมือนปรมาณูนั้น มีอำนาจความแรงเหมือนกับดินระเบิดที่จมลงในพื้นแผ่นดิน แล้วก็สามารถระเบิดทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับพินาศไปได้ฉันใด จิตละเอียดที่จมลงในลมก็สามารถระเบิดคนสัตว์ให้พินาศย่อยยับไปได้เช่นเดียวกัน คือเมื่อจิตละเอียดถึงที่สุดถึงขั้นนี้แล้วความรู้สึกในตัวตนของเราก็จะดับไปสิ้นไม่มีเหลือจิตนั้นก็จะหมดความยึดถือในอัตภาพร่างกายตัวตนคนสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น จึงเหมือนกับปรมาณูที่ทำลายคนสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น
“วิตก” คือ การกำหนดลมหายใจเ ปรียบเหมือนกับเราป้อนข้าวเข้าไปในปาก “วิจาร” คือ ขยาย แต่ง ปรับปรุงลมหายใจ เปรียบเหมือนกับเราเคี้ยวอาหาร ถ้าเราเคี้ยวให้ละเอียดๆ แล้วกลืนลงไปอาหารนั้นก็จะย่อยง่ายและเป็นประโยชน์แก่ร่างกายได้มาก การย่อยนั้นเป็นหน้าที่ของธรรมชาติร่างกายส่วนการเคี้ยวเราต้องช่วยจึงจะเกิดผล ถ้าเรากลั่นกรองละเอียดได้เท่าไรก็ยิ่งได้ผลดีขึ้นเท่านั้นเพราะของสิ่งใดละเอียดสิ่งนั้นย่อมมีคุณภาพสูง
การทำลมละเอียดนั้นจิตก็จะต้องละเอียดตามและกายก็ต้องละเอียดด้วย ฉะนั้น พระบางองค์ที่มานั่งเจริญกรรมฐานอยู่จนลมละเอียด จิตละเอียดและกายของท่านจึงละเอียดเล็กลงๆ จนสามารถลอดซี่กรงหน้าต่างเข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์หรือวิหารได้ทั้งๆ ที่ปิดประตูหน้าต่างอยู่ดังนี้ก็มี นี่ก็เป็นอำนาจของลมละเอียดอย่างหนึ่ง วัตถุใดที่มีความกลั่นกรองมากๆ ย่อมเป็นเหตุให้คุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิม เช่น เกลือนี้ถ้าเรานำมากลั่นกรองมากๆ เข้า รสเค็มของเกลือจะกลายเป็นรสหวานไปได้ หรือน้ำตาลซึ่งเดิมมีรสหวานและเปรี้ยวนิดหน่อยถ้ากลั่นเข้ามากๆ ก็จะกลายเป็นรสขมไปได้ เหตุนั้นท่านจึงว่าไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงแต่อะไรจะเที่ยงหรือไม่เที่ยงนี้เราก็ไม่ต้องไปนึกถึงมันเพราะเมื่อเราทำจิตให้แคบและละเอียดจนเกิดเป็นญาณความรู้ขึ้นในตนแล้วอาการทั้งหลายจะบอกให้เรารู้เห็นเองในสิ่งเหล่านี้ เพียงตั้งใจทำจริงอย่างเดียวแล้วในที่สุดก็จะต้องเห็นผลแห่งความจริง
มีบางคนเค้าว่าคนที่มานั่งหลับตาทำสมาธิว่า “การนั่งหลับตาอยู่นั้นจะได้ผลอะไรแต่คนที่เขามีความรู้มากๆสูงๆลืมตาอยู่ยังไม่เห็นผล นี่รู้ก็ไม่เท่าไรแล้วมานั่งหลับตานิ่งอย่างนี้จะได้ผลอะไร” เราก็ควรจะตอบได้ว่าผลอันแท้จริงนั้นไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้มากหรือการศึกษาตำรับตำราบาลีเป็นมหาเปรียญอะไรดอก ผลของความดีนั้นเกิดจากการกระทำจริงเมื่อใครทำจริงแล้วผลก็ต้องได้จริง คนที่มานั่งพุทโธพุทโธ แต่จิตคอยเผลอบ้างและไปข้างหน้ามาข้างหลังบ้าง ง่วงบ้าง อย่างนี้เดี๋ยวก็ลืมลมหมด นั่งสิบปีจนแห้งไปกับที ก็ไม่เกิดผล
การไม่ทำจริงเป็นเหตุให้ไม่เกิดผลเมื่อไม่เกิดผลก็ย่อมเกิดสนิมขึ้นในใจ คือ ความเบื่อหน่าย ท้อถอย เกียจคร้าน แล้วในที่สุดก็เลิกวางทิ้งเสีย พวกเราก็มักเป็นอย่างนี้กันโดยมาก การเจริญสมาธินี่ ถ้าทำจริงแล้ว ย่อมจะเกิดผลเป็นกำลัง (พละ) ๕ ประการ คือ ศรัทธา ความเชื่อ เมื่อเกิดความเชื่อเห็นผลในการกระทำของตนแล้ว วิริยะ ความขยันก็จะเกิดขึ้นตามมาเองโดยไม่ต้องมีใครบังคับ ต่อจากนี้ สติ ก็จะมีความรอบคอบในการกระทำสมาธิก็ตั้งมั่นในสิ่งนั้น จึงเกิด ปัญญา ความรู้พิจารณาความถูกผิดทั้งหลายได้นี้รวมเรียกว่า “พละ”
ปัญญา ที่เกิดจากการเจริญสมาธินี้มีความคมรอบตัวเหมือนกับใบจักรเลื่อยวงเดือนที่ตั้งอยู่บนแท่น แกนของมัน คือ ตัวจิต เลื่อยวงเดือนนี้ เมื่อมีอะไรส่งเข้ามาก็สามารถจะบั่นทอนตัดขาดได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง จะส่งเข้ามาทางด้านไหน วงเลื่อยก็หมุนไปตัดได้ทุกด้าน ส่วนแกนในของมัน คือ ดวงจิต ก็ตั้งเที่ยงอยู่บนแท่น ไม่หมุนไปตามตัวเลื่อย ใครอยากได้ ไม้ซุง ไม้เสา ไม้ฝา ไม้พื้น หรือตงรอดอย่างใด ก็สามารถจับหั่นให้ได้ทุกชนิดตามความต้องการ
ปัญญานี้หมุนไปทางกายกรรมก็เป็นการงานที่ชอบก็สามารถประกอบกิจการต่างๆ ให้สำเร็จประโยชน์ได้ทุกประการ หมุนไปทางวจีกรรมก็สามารถกล่าวคำอันเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ฟังได้ทุกอย่าง พูดดีก็เป็นน้ำตาล น้ำอ้อย พูดไม่ดีก็เป็นน้ำร้อน ลวกเผาใจเขา เมื่อประกอบด้วยปัญญาแล้วจะเทศนาหรือพูดให้คนฟังก็สามารถกลั่นกรองให้ถูกกับอัธยาศัยของคนได้ทุกชั้นทุกเพศทุกวัยและบุญบาปทั้งหลายได้ถูกต้อง เมื่อเป็นดังนี้ก็จะมีแต่คุณประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น หาเวรภัยมิได้
วิตก วิจาร ในลมหายใจนี้ท่านเปรียบอีกอย่างก็เหมือนกับช่างแก้รถยนต์ ตัวจิต คือ นายช่าง เมื่อเราขับรถไปนั้นเราจะต้องมีสติคอยสังเกตและหมั่นตรวจดูเครื่องยนต์ของเราว่ามีสิ่งใดชำรุดขัดข้องบ้าง เช่น พวงมาลัย ล้อ แหนบ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าสิ่งใดขัดข้องเสียหายก็ต้องรีบจัดการแก้ไข เปลี่ยนปรับปรุงเสียทันที แล้วรถของเราก็จะแล่นไปได้ตลอดสุดที่หมายปลายทางโดยไม่มีอันตราย
การทำสมาธิ ต้องคอยสังเกตสำรวจตรวจตราดูลมหายใจของตนที่ผ่านเข้าไปนั้นเสมอว่าสะดวกหรือขัดข้องอย่างใดแล้วก็ขยับขยายปรับปรุงให้เป็นที่สบายสมาธิของเราก็จะเจริญขึ้นเป็นลำดับจนถึงที่สุดแห่งโลกกุตระฉันนั้น
การเจริญสมาธินี้ควรเจริญใน “อารักขกรรมฐาน” ด้วย คือ
- พุทธานุสติ ทำกายจิตให้เป็นศีลก่อน ทำใจให้พ้นจากนิวรณ์แล้วตั้งใจหายใจจริงๆ ด้วยการระลึก “พุทโธๆ”
- เมตตญฺจ เมตตาตนเอง โดยนึกถึงตัวว่า เราเกิดมาไม่มีอะไรเลย ช่างน่าสงสารจริงๆ ร่างกายก็ไม่ใช่ของตน ไม่ได้เอาอะไรมา แล้วก็ไม่ได้เอาอะไรไป ผ้าขี้ริ้วผืนเดียวก็ไม่ได้ติดตัวมา เราจะต้องหาอริยะทรัพย์คือทำบุญกุศลไว้จะได้นำติดตัวไปได้ เราเกิดมาตอนแรกมันก็แข็งแรงสวยงามดีต่อไปมันก็จะแก่ไปแก่ไป แล้วก็เจ็บ แล้วในที่สุดเขาก็จะห้ามขึ้นเชิงตะกอน
- อสุภะ ทำความคุ้นเคยกับธาตุขันธ์ในตัวไว้ พิจารณาให้เห็นความไม่สะอาดในร่างกาย ตั้งแต่ ขน ผม เล็บ ฟัน หนังเป็นต้น มันจะต้องเปื่อยเน่าผุพังไปตามสภาพของมัน
- มรณสฺสติ ลมหายใจเข้าไม่ออกหรือออกแล้วไม่กลับเข้า เราก็ต้องตาย ชีวิตความตายเป็นอยู่อย่างนี้ นี่แหละ จะทำดวงจิตให้ถึงความสงบและสิ้นทุกข์ได้