ภายหลังจากที่ได้ออกมาจากเมืองนาคาพิภพ พระอาจารย์บุญเดชก็ได้มาเปิดปฏิทินดูถามวันเวลากับลูกศิษย์ก็ได้ทราบว่ากินเวลานานไปถึง ๒๘ วันภายหลังออกมาจากเมืองพญานาคสายตาของพระอาจารย์บุญเดชก็ปรับสภาพสู้แสงแดดไม่ไหว (คล้ายตุ่นออกมาจากถ้ำใหม่ๆ สู้แสงแดดไม่ได้) สายตายังไม่ชินกับแสงแดดพระอาจารย์บุญเดชจึงใช้มือลูบไปที่บริเวณเบ้าตา “มันทำไมถึงเป็นแบบนี้”พระอาจารย์บุญเดชมองดูต้นไม้ละลานตาไปหมด จากนั้นจึงเดินกลับเข้ากฏิ ค่อยๆหลับตาลงแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายคราเป็นการบริหารสายตาอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงในขณะนั่งอยู่ในมุ้งกลด
ครั้นพอตกกลางคืน ซึ่งคืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย พระอาจารย์บุญเดชจึงได้ออกมาเดินจงกรม นั่งภาวนาก็มีความรู้สึกว่าจิตใจมีความเข้มแข็ง รู้สึกถึงกำลังวังชาแขนขาเป็นปกติ แต่ไม่มีความรู้สึกมีกำลังมากมายเหมือนอยู่ในเมืองนาคาพิภพ กำลังภายในจิตใจมีอยู่เต็มหัวจิต สังเกตดูตัวเองก็จะทราบเหมือนมีพลังพิเศษคุ้มครองรอบกายเป็นรูปวงรีครอบศีรษะ จะมีอะไรมาปะทะก็มิหวั่นไหว ในจิตใจเดินจงกรมภาวนาไปจนสว่างจนเข้าสู่วันที่สอง วันที่สาม พระอาจารย์บุญเดชเกิดความรู้สึกว่าแขนขาของท่านเริ่มอ่อนนิ่ม มีจิตใจคล้ายเด็ก คิดถึงแต่ผู้เป็นแม่ในอดีตชาติคิดถึงคุณบิดามารดาหลังจากนั้น พระอาจารย์บุญเดชจึงได้มาพิจารณาธรรมเรื่องโลกธรรมสมมติก็ได้ธรรมะเกิดขึ้นในดวงจิต “แม่ในปัจจุบันท่านก็เป็นแม่เช่นเดิม ถึงแม้ในอดีตชาติท่านก็เป็นแม่เช่นกัน แล้วแม่ออก (ญาติโยมผู้หญิง) ที่ใส่บาตรให้เรากินก็เป็นแม่เช่นกันเป็นบางชาติ เราเป็นหมูเป็นสุนัขเป็นนกเป็นไก่เป็นเป็ดก็แน่ใจว่าเคยเป็นพ่อเป็นแม่ท่านมาหมด เณรลูกศิษย์บริวารที่มาอุปัฏฐากอุปถัมภ์เรานั้นก็ล้วนแต่มีความเกี่ยวพัน กับเรามาก่อนทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่ด้วยบุพกรรมในอดีตชาติเป็นหลักและบุพกรรมในชาติปัจจุบัน”และพระอาจารย์บุญเดชก็ได้วิตกบังเกิดเห็นภาพแสดงเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้าให้ทราบ ก็ได้ทราบจากนิมิตว่าต่อไปจะมีคณะบุคคลต่างๆ ที่จะเดินทางเข้ามาพบมาสนทนานั้น ล้วนแต่เป็นเครือญาติเก่าๆ ที่จะต้องได้มาพบเจอะเจอกัน พอกำหนดจิต พิจารณาเรื่องนี้นิมิตภาพนั้น ก็แสดงให้ทราบเห็นเป็นผู้คนเดินทางไต่ขึ้นสู่วัดเต็มไปหมด ได้ขึ้นลง ภูเขาอยู่ทั้งสองข้างทางยาวเป็นแถวๆ มีพระเณรมาบิณฑบาต นุ่งห่มจีวรเหลืองอร่ามละลานตาไปหมด ขณะนั้นก็ได้มีเทวดาตนหนึ่งได้มาปรากฏกายในนิมิต
พระอาจารย์บุญเดชจึงกำหนดจิตถามเทวดาตนนั้น “อันนี้พวกเขามาทำอะไรกัน” เทวดาตอบให้ทราบ “โอ้ นี่พวกเขาได้มาจัดการวันกตัญญ (วันเกิด) ให้” พระอาจารย์บุญเดชถามเทวดา
“เราไม่เคยจัดงานนี้สักครั้งทำไมถึงจะมี” ในช่วงเวลานั้นพระอาจารย์บุญเดชอยู่กับโยมอุปัฏฐากและเณรเพียงเท่านั้น พระอาจารย์บุญเดชเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีงานในลักษณะนี้เกิดขึ้นดังนิมิตแสดงภาพในอนาคตให้ทราบ (พอถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ผู้คน ก็เริ่มมาจากทั่วสารทิศมาจัดงานวันเกิดให้มาร่วมงานวันเกิดมากมาย)
ขณะนั้น พระอาจารย์บุญเดชก็ยังทรงกายอยู่ได้ แต่เนื่องจากธาตุขันธ์อ่อนกำลังจำต้องค่อยๆ เดิน ส่วนจิตก็ได้พิจารณาเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ สติปัญญาผุดขึ้นในดวงจิตเป็นธรรมบทต่างๆ ให้ทราบสู่ห้วงกระแสจิต
คืนนั้นพระอาจารย์บุญเดชทำวัตรเสร็จแล้วจึงมาเดินจงกรมตั้งแต่เวลาประมาณ ๒ ทุ่มเดินจงกรมอยู่อย่างนั้น จิตได้พิจารณาในเรื่องวัฏฏวน การเกิด การแก่ การเจ็บการตายของสัตว์โลก วัฏฏวนธรรมหมุนมาให้ได้พิจารณาอยู่อย่างต่อเนื่อง พิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นทั้งกรรมของผู้อื่นและกรรมของตัวเองธรรมก็แสดงให้เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ให้ได้รับทราบ ขณะที่ทราบเหตุการณ์ ทางจิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระอาจารย์บุญเดชก็ครุ่นคิด “แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะช่วยเขาอย่างไร ในขณะที่เขามาหา” ผู้คนก็เหมือนบัวสี่เหล่าที่มีภูมิจิตภูมิธรรมแตกต่างกันออกไปตามจริตวาสนาบางมีของแต่ละท่านที่สั่งสมมา การพิจารณาโปรดก็ต้องโปรดตามสี่เหล่านั้น บางคน ตั้งใจมาฟังธรรม เราก็ต้องเทศน์ให้ฟัง” พระธรรมผุดตอบให้ทราบ พระอาจารย์บุญเคชพิจารณาแล้วกำหนดจิตถามต่อไป “เราจะเทศนให้เขาฟังอย่างไร เราไม่ได้เรียนหนังสือมา เราจะไปเรียนตำราเล่มใด เรียนจากพระไตรปิฎกเล่มใดมาเทศน์ให้ญาติโยมเขาฟัง”
ผู้รู้ผุดตอบให้ทราบ “เราไม่ต้องไปกำหนดมันเกิดขึ้นเอง เราไม่ต้องไปเรียนในพระไรปิฎกเล่มใด เรียนที่ พระไตรปิฎกกาย พระไตรปิฎกวาจา พระไตรปิฎกใจ มันอยู่ในนี้แล้ว เขามาเราก็เทศน์ให้ตามที่จิตเขารับได้ นั่นแหละคือ บัวสี่เหล่า พระอาจารย์บุญเดชถามผู้รู้ “แล้วอย่างพวกหาเช้ากินค่ำล่ะ พวกหาเช้ากินค่ำนี้เขาก็ตกลงไปอีกจะทำอย่างไร”
ผู้รู้ผุดตอบให้ทราบ “ก็ฝันให้เขาฟังสิ อย่างโอ้ เมื่อคืนนี้เราฝันเห็นอันนั้น อันนี้เราต้องโปรดเขา หากเราไม่โปรดเขา เขาก็กลัวเราเหมือนกันจิตเขามุ่งมาฟังแค่ความฝันเราก็ฝันให้เค้าวะ”
พระอาจารย์บุญเดชพิจารณาธรรม ขณะเดินจงกรมจึงมารู้สึกตัวรู้เวลาก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน
จากนั้นพระอาจารย์บุญเดชก็ได้ทราบถึงสภาวะธาตุขันธ์ของตัวท่านเอง จึงได้เรียกเณรชื่อล้านมาพบ “เณรเอ๊ยหากข้อยเป็นอะไร เผาข้อยตรงนี้ (หน้ากฏิ) แล้วให้แม่ออกไปเก็บฟืน ไม้แก่นขาม ไม้แคนหินนำมากองเพื่อเผาข้อยตรงนี้เผาข้อยแล้วเอากระดูกข้อยไปเก็บไว้ตรงจุดนั้น (พร้อมกับชี้มือบอกจุดให้ทราบ)
หากข้อยเป็นอะไรไปเพราะข้อยจะอดอาหารซักสองวันแต่ว่าภายในสองวันนี้ข้อย (เรา) จะไม่ปิดประตู ถ้าเจ้ามาเห็นร่างกายเราแข็ง ให้เจ้าไปตามหลวงพ่อบุญทัน (หลวงพ่อบุญทัน ปุญญทัตโต แห่งวัดป่าสามัคคีธรรม จ. บ้านฝ่าง จ. ขอนแก่น) มา ถ้าเจ้าเห็นร่างกายเราแข็งแสดงว่าเราตายแล้วถ้าเราตายแล้วเลยสามวันไปแล้วจึงค่อยเผา ถ้าไม่เกินสามวัน อย่าเพิ่งเผาเด้อ”
สามเณรรับคำว่า “ครับๆ”
พระอาจารย์บุญเดชขณะที่ออกมาจากเมืองพญานาคเป็นวันแรกก็ไม่ได้ฉันอาหารเพราะรู้สึกว่ายังอิ่มอยู่ เพราะได้ฉันกล้วย ฉันฝรั่งมาจากเมืองพญานาคมาก่อนหน้านี้แล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่พระอาจารย์บุญเดช อดอาหารคราวละ๓ล วัน สามเณร ล้านก็ชินแล้ว ก็ทราบว่าพระอาจารย์บุญเดซอดอาหารที่ละ๓๕ วัน พระอาจารย์บุญเดชไม่ค่อยฉันอาหารเลยไม่สนใจว่าพระอาจารย์บุญเดชจะไปภาวนาอยู่ที่ใดสามเณร ก็ไม่ใส่ใจ ครั้นถึงเวลาทำวัตรสามเณรก็ไปทำวัตร กวาดถ้ำต้มน้ำร้อนฉัน เดินจงกรม วัน นั้นพระอาจารย์บุญเดชพำนักอยู่ในกุฏิซึ่งก่อนหน้านั้นได้สั่งกำซับให้เณรให้บอกญาติโยมเตรียมหาฟืน ญาติโยมก็ไปเตรียม เก็บหาฟืนไว้อยู่หน้าถ้ำ โยมถาม
“หามาไว้ทำไม” สามเณรล้าน “ท่านบอกว่าให้หาไว้เผาท่าน ท่านจะเผาตรงนี้ (หน้ากุฏิ) ตกเข้าคืนที่สองร่างกายของพระอาจารย์บุญเดชล้มลงอยู่ในท่านอนเหยียดขา คลุมจีวรธาตุขันธ์ขาดสภาวะความสมดุลลง จนในที่สุดธาตุขันธ์ของพระอาจารย์บุญเดชก็หยุดการทำงานลง จิตกายทิพย์ของพระอาจารย์บุญเดชก็ออกจากร่างออกมามองเห็นกายเนื้อของตนเองนอนอยู่บนพื้นกุฏิ ส่วนกายทิพย์ก็ยังคงครองจีวรอยู่ เห็นกระดูกตัวเองใสสว่าง มองไปข้างหน้าก็เห็นสรรพสิ่งต่างๆ แจ้งสว่างไปหมด พอดีขณะ นั้นก็มีเหล่าเทพเทวดาได้พากันจัดเตรียมขันธ์ ๕ พร้อมผ้าไตร เตรียมมารับพระอาจารย์บุญเดช
ในขณะนั้นก็มีบุรุษลึกลับมาด้วยกันสองคนคนหนึ่งสวมรองเท้าคล้ายดังพวกทหารในมือถือสมุดเล่มใหญ่หนาเตอะ จึงได้ทราบว่าเป็นจ่ายมบาลเดินถือสมุดบัญชีบาปบุญ (เฉพาะของพระภิกษุสามเณร) พอมาถึงใกล้กฏิพระอาจารย์บุญเดชก็พากันเดินวนรอบกฏิ ๓ รอบ กายทิพย์ของพระอาจารย์บุญเดชก็นั่งดูพวกเขา ส่วนมือนั้นก็ไปคลำศีรษะของกายเนื้อ พูดกับกายเนื้อที่นอนแน่นิ่ง “เดชเอ๊ย! ทำไมมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยเหลือเกินนะเรา”
จิตออกจากร่างก็รู้ว่าตัวเองตายแล้ว กายเนื้อนอนนิ่ง กายทิพย์นั่งคลำศีรษะของกายเนื้อ กายทิพย์ (จิต) ก็ได้มองออกไปข้างนอกเห็นจำพวกวิญญาณ ที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ทหารเก่าๆ มีปืนพร้อมอยู่ในมือ พากันนั่งร้องห่มร้องไห้สลอน อีกพวกเป็น วิญญาณของเหล่าเทพเทวดานั่งพนมมือเป็นแถวยาวเหยียด เตรียมพาพระอาจารย์บุญเดชไปอยู่ในสถานที่อันสมควร นั่งพนมมือเต็มไปหมด บ้างก็เป็นรุกขเทวดานั่งอยู่บนดันไม้นั่งเรียงเต็มไปหมด ทางฝ่ายเทพจ่ายมบาลหลังจากเดินวนรอบกุฏิ ๓ รอบแล้วจึงเดินเข้ามาหาพระอาจารย์บุญเดช (กายทิพย์) แล้วก็ถามท่านว่า
“ท่านใช่ไหม ชื่อพระอาจารย์บุญเดชใช่ชื่อจริงไหม”
พระอาจารย์บุญเดชตอบให้ทราบ “ใช่”
จ่ายมบาลนั่งคุกเข่าลงมาพร้อมกับใช้มือจี้ลงไปในสมุดเล่มใหญ่ อันเป็นสมุด บันทึกถึงบาปบุญคุณโทษของผู้ที่สร้างสมบุญกุศล และบาปอกุศลของผู้คนในโลกมนุษย์พลันใดนั้นจ่ายมบาลจี้มือลงไปที่สมุดเล่มนั้นก็ปรากฏว่าสมุดนั้นค่อยๆ พลิกหน้าไปทีละแผ่นอย่างรวดเร็วพั่บๆ พระอาจารย์บุญเดชก็ยืนมองดูอยู่ก็มองเห็นรายชื่อพระฉายาท่านต่างๆ เป็นจำนวนมาก พระอาจารย์บุญเดชมองดูเห็นรายชื่อพระภิกษุรูปต่างๆ ที่ถึงคราวดับขันธ์ก็จะมีรายชื่อบัญชีไว้แสดงให้ทราบ พระอาจารย์บุญเดช นั่งดูก็เห็นรายชื่ออักษรคล้ายเป็นภาษาบาลี สมุดบันทึกบาปบุญเล่มใหญ่นี้ที่พระอาจารย์บุญเดชได้เห็นจะมีแต่รายชื่อแต่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้นไม่มีชื่อมราวาส รายชื่อของครูบาอาจารย์ของพระอาจารย์บุญเดช ท่านก็ได้เห็น เช่น หลวงปู่จำลอง ปภากาโร
พระอาจารย์บุญเดชเห็นสมุดบันทึกบาปบุญคุณโทษเปิดไปเองอัตโนมัติ พอมาถึงชื่อพระอาจารย์บุญเดชก็ปรากฏว่าสมุดเล่มนั้นก็หยุดทันที จ่ายมบาลจึงได้บอกให้ทราบ “พระอาจารย์บุญเดชบวชอยู่ที่วัดเขาสุกิม พระอุปัชฌาย์ชื่อ พระศรี่สุทธินายก มีพ่อชื่อทอง ภาโนมัย แม่ชื่อนางทองสุก บ้านเดิมเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด บ้านใหม่อยู่ที่จังหวัดเลย” จ่ายมบาลก็กล่าวไล่รายละเอียดถึงภูมิหลังของพระอาจารย์บุญเดชในเรื่องต่างๆ จากนั้นจึงบอกให้พระอาจารย์บุญเดชทราบว่า
“พระอาจารย์บุญเดชหมดอายุแล้ว” จากนั้นจ่ายมบาลจึงได้ไล่รายละเอียดของบัญชีบุญของพระอาจารย์บุญเดชให้ท่านฟัง จ่ายมบาลอ่านรายการบุญกุศลที่พระอาจารย์บุญเดชได้สร้างไว้ขณะที่มีชีวิตอยู่ได้ฟังไปเรื่อย จากนั้นก็ได้ไล่เรียงบัญชีบาปของพระอาจารย์บุญเดชให้ทราบเป็นใจความว่าตอนเป็นเด็กเคยไปเด็ดปีกแมลงปอ ดักตั๊กแตน ในปี… ไปจับปลามาฆ่าในปี…ไปจับปลามาฆ่าในป๊…ไปจับปลาใส่ไซ ได้กุ้งได้ปลาจำนวน… พาหมู่เพื่อนไปฆ่าหมูอยู่ที่…หมูตายอยู่ที่…ไปยิงนกตายปี… ใส่เบ็ดได้ปลา จ่ายมบาลไล่รายละเอียดต่างๆให้พระอาจารย์บุญเดชทราบทุกกระเบียดนิ้วบัญชีหน้าหนึ่งจะเป็นบัญชีบุญ พอพลิกกลับอีกหน้าหนึ่งจะเป็นบัญชีบาปไล่เรียงบัญชีบาปมีเพียงน้อยนิด ส่วนบัญชีบุญนั้นมีมากเป็นปีกใหญ่ เป็นการตรวจดูในชาติปัจจุบันเท่านั้นพระอาจารย์บุญเดชได้บอกกับจ่ายมบาล “บัญชีบุญพวกเจ้าไม่ลงไว้ก็มีอยู่มั้ง (หาไม่เจอ)” จ่ายมบาลถาม “ญาดู จำได้ไหมมีอะไรบ้าง” จากนั้นพระอาจารย์บุญเดชจึงไล่เรียงบอกให้จ่ายมบาล โอ้ข้อยชักผ้าจีวรให้พระนาม… ข้อยดูขี้ไคลให้พระอรหันต์นาม… ข้อย
บิณฑบาตถวาย พระอรหันต์นาม… ข้อยล้างบาตรให้พระอรหันต์นาม…
พระอาจารย์บุญเดชก็เล่ารายละเอียด ให้จ่ายมบาลฟังเท่าที่นึกได้ พูดไปๆ จ่ายมบาลก็เปิดบัญชีบุญตรวจตามดูแทบไม่ทัน จากนั้นจ่ายมยาลทั้งสองนายก็ได้มองหน้ากัน พระอาจารย์บุญเดชกล่าว “เราทำให้มีแต่ถวายพระอรหันต์นะ บัญชีบาป มีแค่นี้เอง” จ่ายมบาลบอก “อ้าวก็อายุขัยอาจารย์หมดแล้วนะ”
พระอาจารย์บุญเดชบอก “หมดแล้ว บุญเท่านี้จะต่ออายุให้ข้อยได้ไหม” จ่ายมบาลบอก “ได้ แต่ต้องให้ผู้มีบารมีมากกว่านี้มาต่ออายุให้ แต่ต้องไปตกลงกันซะก่อน” จ่ายมบาลก็หันหน้าไปมองหน้ากัน พระอาจารย์บุญเดชบอก “ถ้าพวกท่านจะเอาเราไปเดี๋ยวนี้ เราก็ไปได้ เราก็ไปสบาย แต่พวกท่านจะบาป” พอพูดว่าบาปจ่ายมบาลทั้งสองก็หันไปมองหน้ากันเพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ดูแลบัญชีบาปบุญคุณโทษของ ผู้คนบนโลกมนุษย์อยู่แล้ว บุคคลพวกนี้เกรงกลัวบาปเป็นอันมาก
พระอาจารย์บุญเดชกล่าว “พวกเจ้าเอาเราไปตอนนี้ไม่ได้ ให้เราปรึกษาหลวงพ่อก่อน พรุ่งนี้หลวงพ่อเราก็มาถ้าหลวงพ่อเราว่าอย่างไรท่านก็มาเอาเราได้เลยมะรืนเราจะไปกับพวกเจ้า” จ่ายมบาลอีกท่านที่ถือพานทองบนนั้นมีไตรทองวางอยู่พร้อมดอกไม้ ธูป เทียน ขันธ์ ๕ เพื่อมาทำการนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ จึงจะสามารถนำดวงจิต วิญญาณท่านไปได้ เป็นประเพณีอย่างนี้ของเจ้าหน้าที่ ฝ่ายบัญชีบาปบุญของผู้คนในโลกมนุษย์ ต้องมาทำการนิมนต์อย่างนี้กับพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปก่อน ต้องเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้นจึงจะทำพิธีอย่างนี้ หากไม่ใช่พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็จะนำตัวไปเลย ไม่ต้องมีการนิมนต์ พระอาจารย์กล่าว
“พรุ่งนี้หลวงพ่อเราก็มา มะรืนท่านว่าอย่างไรพวกท่านค่อยมารับเราไปเลย เราไม่อยากอยู่เราก็เบื่อหน่ายเหมือนกันเราก็เห็นมาหมดแล้วเมืองใต้เมืองล่างเมืองบนเราเห็นมาหมดแล้ว เราไม่มีสงสัยแล้ว” จ่ายมบาลทั้งสองก็หันหน้ามามองหน้ากัน แล้วปิดสมุดบัญชีบาปบุญลงจากนั้นจึงได้กราบลาพระอาจารย์บุญเดชแล้วหายตัวไปกลางคืนนั้น พระอาจารย์บุญเดชยังคงนั่งเฝ้าศพตัวเองอยู่อย่างนั้น พอรุ่งอรุณตื่นเช้า สามเณรล้านจึงออกมาดูพระอาจารย์บุญเดช พอเปิดประตูกุฏิเข้าไปเห็นพระอาจารย์บุญเดชนอนแน่นิ่ง พระอาจารย์บุญเดช (กายทิพย์) ก็มองเห็นสามเณรเปิดประตูเข้ามาปลุกพระอาจารย์บุญเดช (กายเนื้อ) ร่างก็แน่นิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ใช้ตอบอะไร แข็งที่ออยู่อย่างนั้น “ตายแล้ว อาจารย์ตายแล้ว”
สามเณรล้านก็จดจำคำสั่งสอนของอาจารย์ได้ จึงได้หอบจีวรเดินทางลงจากเขากูลังกามุ่งหน้าสู่อำเภอบึงโขงหลง เพื่อไปหารถแม่ออกไพฑูรย์ที่เคยมาวัดและได้บอกญาติโยมให้พาไปหาหลวงพ่อบุญทัน ปุญญทัตโต ที่จังหวัดขอนแก่น
ขณะนั้นกายทิพย์ของพระอาจารย์บุญเดชก็นั่งเฝ้าศพของตัวเอง ก็เห็นเหล่าเทพเทวดามาเยี่ยมเยียนกันอยู่ไม่ขาดสาย ตลอดจนกายทิพย์ครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็ได้ต้อนรับขับสู้สนทนาธรรมรูปแล้วรูปเล่า แล้วท่านก็จากไป สามเณรล้านได้เดินทางไปจนถึงวัดป่าสามัคคีธรรม ท่านหลวงพ่อบุญทัน ปุญญทัตโต กำลังรับแขกอยู่พอดีเณรล้านก็เข้าไปกราบเรียนให้หลวงพ่อบุญทันทราบ “อาจารย์บุญเดชตายแล้วหลวงพ่อ” หลวงพ่อบุญทันได้ทราบข่าวก็ได้จัดแจงเดินทางออกจากวัด นั่งรถออกมาทันทีขณะเดินทางไปท่านก็นึกอยู่ในใจ “ยังไม่ตายนะ ยังไม่ตายนะ เพราะปีกลายก็ไปจำพรรษาอยู่ใกล้ๆ ทำไมจะตายเร็วแท้” หลวงพ่อบุญทันจึงได้อธิษฐานจิตช่วยพระอาจารย์บุญเดชไม่ให้ตาย อธิษฐานจิตตลอดการเดินทาง
ในช่วงระหว่างที่สามเณรเดินทางไปกราบเรียนหลวงพ่อบุญทัน ก็ปรากฏว่ากายทิพย์ของพระอาจารย์บุญเดชได้ทดลองมานอนอยู่ข้างๆ โดยการนอนทับบนกายเนื้อของท่าน พอนอนทับร่างกายเนื้อจนขนานกันกับกายทิพย์ ก็ปรากฏว่าอำนาจธรรมประสานกายเนื้อกับกายทิพย์เข้ากันได้อย่างกลมกลืน จากนั้นกายเนื้อก็มีความ รู้สึกว่ามีไออุ่นขึ้น พระอาจารย์บุญเดชจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นมาพยุงกายช่วยเหลือตัวเองจนมีร่างกาย สติสมบูรณ์มากขึ้นจนสามารถช่วยเหลือตัวเองให้พื้นคืนชีพได้หลังจากนั้นหลวงพ่อบุญทันจึงได้เดินทางมาถึงทางเข้าวัดถ้ำแสงธรรม ก็ปรากฏว่ารถยนต์ที่ท่านนั่งมาติดหล่มดินทราย ก็มีญาติโยมได้มาช่วยกันเข็นขึ้นมาได้ จากนั้นหลวงพ่อบุญทันจึงได้เดินทางขึ้นเขาอย่างทุลักทุเล จนมาถึงวัดถ้ำแสงธรรม พระอาจารย์บุญเดชก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้ว จากนั้นหลวงพ่อบุญทันท่านจึงได้เดินทางผ่านไป ณ บริเวณภูฏิของพระอาจารย์บุญเดช ได้อธิษฐานจิตบางอย่างจนพระอาจารย์บุญเดชมีสุขภาพร่างกายธาตุขันธ์ดีขึ้น
ในโอกาสต่อมาพระอาจารย์บุญเดช จึงได้มาพิจารณาถึงญาติธรรมของท่านในอดีตท่านก็ได้ทราบว่าในอดีตชาติที่ล่วงผ่านมาท่านเคยมีพี่ชายอยู่ท่านหนึ่ง ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ท่านบำเพ็ญปฏิบัติธรรมอยู่ ณ วัดป่าห้วยกุ่ม อ. คอนสาร (รอยต่อกับอ. เกษตรสมบูรณ์) จ. ชัยภูมิ พระอาจารย์บุญเดชก็ได้ทราบทางสมาธิ “พี่ชายเราเดี๋ยวนี้อยู่ห้วยกุ่มกำลังทุกข์หนัก” ทั้งที่จริงพระอาจารย์บุญเดชก็ไม่เคยไปที่วัดป่าห้วยกุ่ม แต่ประการใด ในช่วงระยะเวลานั้นเป็นช่วงระยะที่ท่านพระอาจารย์สายทอง เตชะธัมโม บำเพ็ญจิตสมาธิ ห้ำหั่นกับกามราคะกิเลสตัณหาที่หมักหมมในจิต ท่านได้ใช้อุบายจิต อุบายธรรมด้วยจริตอดอาหารนานนับเดือนจนใกล้ตาย กระเพาะอาหารบีบรัดตัว จนได้รับความทุกข์ทรมานประกอบกับมีอาการไส้ขาด ขณะนั้นพระอาจารย์สายทอง ก็ได้อธิษฐานจิต
“ใครเคยมีบารมีเกี่ยวข้องกับเรามาช่วยหน่อยเราจะตายแล้วเราเหนื่อยเหลือเกิน” ในขณะนั้นพระอาจารย์สายทอง เตชะธัมโม ก็ได้ทราบข่าวว่า จะมีน้องชายมาหา วันนั้นท่านพระอาจารย์สายทองจึงได้สู้กับกิเลสตัณหากามราคะ ด้วยการนั่งสมาธิ นุ่งห่มสบงจีวรอย่างเรียบร้อย บ่าข้างซ้ายพาดสังฆาฏิ นั่งสมาธิบำเพ็ญจิตตภาวนาตั้งแต่หกโมงเย็นสู้กับเวทนาทางกายทางจิตนั่งอยู่ในอิริยาบถเดียว ไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกายแม้จะปวดทุกข์ทรมานสักปานใด ด้วยจิตใจองอาจทรนงมุ่งมั่นที่จะฟัดกับราคะให้ออกจากจิต สู้กันยกสุดท้าย วันนี้จะต้องรู้ดำรู้แดงกัน กิเลสตัวกามราคะไม่ตายท่านก็ต้องตายต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไปข้างหนึ่ง และต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชนะเพราะสังเวียนแห่งการห้ำหั่นนี้ไม่มีคำว่าเสมอกัน จะต้องมีแต่ว่าแพ้หรือชนะเท่านั้น จึงจะถือได้ว่าเป็นการต่อสู้อย่างแท้จริง
จนกาลเวลาล่วงผ่านนานนับชั่วโมงพระอาจารย์สายทองก็มีได้ยอมลุกขยับเขยื่อนกายสู้กับเวทนาอยู่อย่างนั้น จนกาลผ่านไปถึงเวลาแห่งรุ่งอรุณวันใหม่ ดวงสุริยาโผล่ขึ้นจากพสุธาเริ่มสองแสงรำไรเป็นเวลาตรงกับหกโมงเช้า กาลยุติเพื่อรู้ผลแพ้ชนะ ก็ได้บังเกิดขึ้นในดวงจิต กิเลสกามราคะตัณหาที่อยู่ในจิตใจของพระอาจารย์สายทองก็ได้ขาดสะบั้นลงนับแต่บัดนั้น เหลืออีกเพียงหนึ่งหนทางแห่งการเดิน มรรคผลนิพพานที่พระอาจารย์สายทองจะต้องบำเพ็ญให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ปรารถนามาเนิ่นนาน นั่นก็คือการชำระโมหะให้ขาดสะบั้นจากจิตเพื่อการเดินทางจิตสู่แดนมุ่งหมาย แดนปรารถนา แดนที่ใฝ่ฝัน แดนที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด แดนแห่งบรมสุข แดนที่ไม่มีทุกข์แดนที่ไม่มีสุข แดนแห่งความสูญเปล่าจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง แดนที่นักปฏิบัติจิตต-ภาวนาใฝ่ฝันเพื่อให้ถึงธรรมอันบริสุทธิ์ นั่นก็คือจุดหมาย คือแดนพระนิพพาน
ภายหลังจากที่ได้ชำระกิเลสกามราคะของพระอาจารย์สายทองเสร็จสิ้นลง พอดีกับพระอาจารย์บุญเดชก็ได้เดินทางมาที่วัดป่าห้วยกุ่มก็ได้มาพบพี่ชายในอดีตของตน ก็คือพระอาจารย์สายทอง เตชะธัมโม จึงได้ปรึกษาหารือกัน จึงได้ทราบความเป็นไปเป็นมาซึ่งกันและกันในอดีตชาติที่ผ่านมานั้น ชาติหนึ่งพระอาจารย์สายทองและพระอาจารย์บุญเดชเคยเกิดเป็นพี่น้องกันในชาตินั้นมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมดจำนวนห้าท่านและได้เสียชีวิตไปหนึ่งท่านแต่ในปัจจุบันนี้ก็มีได้ทราบว่าได้มาเกิดเป็นใครบ้างแล้ว