หลังจากที่พระอาจารย์บุญเดชกลับจากบำเพ็ญภาวนาที่ อ. ภูเรือ จ. เลย ได้เดินทางมาดินแดนภูลังกา ได้บำเพ็ญเดินจงกรมนั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ วันหนึ่งขณะเดินจงกรมภาวนาอยู่ได้มองเห็นแสงสว่างสีเขียวลอยลงมาจากเบื้องบนนภากาศ ปรากฏเห็นรูปร่างมนุษย์มีผิวพรรณผุดผ่อง ผิวพรรณเขียวประกายเปล่งปลั่งประดับอาภรณ์ทรงเครื่องสีขาว พระอาจารย์บุญเดชได้เห็นบุรุษผู้ลึกลับท่านนี้ก็มิทราบว่าเป็นใคร คิดแต่ว่าเป็นพวกชาวบังบด เนื่องเพราะช่วงเร่งบำเพ็ญเพียรจะได้สัมผัสกับพวกบังบดประจำมิได้สนใจกับผู้ใด จนหมู่คณะบางท่านคิดว่าท่านภาวนาจะบ้าไปแล้ว ท่านก็สนใจแต่พุทโธ ครั้นมองออกไปข้างหน้าเห็นแต่วิญญาณบางวันตรงกับวันใกล้หวยออก มองไปตามต้นไม้จะเห็นจำพวกตัวเลขตัวแดงๆ ขึ้นเด่นชัดเป็นภูมิเทพารักษ์มาทดลอง บ้างก็เห็นตัวเลขห้อยต่องแตงอยู่บนต้นไม้ เพื่อจะทดสอบพระอาจารย์บุญเดชว่ามีความหลงในเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า เมื่อได้พบกับบุรุษผู้ลึกลับท่านนั้นได้เรียนถามพระอาจารย์บุญเดช “ท่านเป็นลูกใคร” พระอาจารย์บุญเดชตอบให้ทราบว่า “เป็นลูกของพระพุทธเจ้า ลูกพระอรหันต์” บุรุษลึกลับถาม “ความหมายของลูกพระพุทธเจ้า ลูกพระอรหันต์คืออะไรท่าน” พระอาจารย์บุญเดชตอบให้ทราบ “จะคืออะไรก็ตามล่ะ เราในชาตินี้อธิษฐานมอบกายถวายชีวิตกับท่านแล้ว ขอเป็นลูกท่าน ท่านจะให้เป็นหรือไม่ก็ตามแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็เป็นลูกท่านได้ ท่านไม่พูดในขณะที่เรามอบกายถวายชีวิตนี้ให้ท่านแล้วก็แสดงว่าท่านรับเราแต่งขันธ์ถวายท่านแล้วผู้รับก็คือผู้นิ่ง” บุรุษลึกลับถามด้วยความสงสัย “ทำพิธีอย่างไรท่าน” พระอาจารย์บุญเดช “ทำพิธีอยู่หน้าพระพุทธรูปนั่นแหละ แต่งขันธ์ถวายท่านแล้วตั้งแต่บวชได้ ๓ พรรษา เนื่องจากในช่วงพรรษาที่๑ ที่ ๒ เสียใจในเรื่องเพศสตรีหญิงสาวที่สัญญากันไว้ได้แต่งงานกับชายอื่นไปก่อนแล้ว ผู้หญิงไม่มีความจริงใจต่อกันถึงเป็นเหตุให้อธิษฐานจิตถวายเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต บุรุษลึกลับได้ทราบเรื่องราวต่างๆของพระอาจารย์บุญเดช “บ๊ะ ท่านนี่ช่างเข้าท่าดีนะมามามามานั่งคุยกันหน่อยเถอะ” ในขณะที่เดินไปเพื่อหาที่นั่งทำเลที่เหมาะ พระอาจารย์บุญเดชได้สังเกตบุรุษผู้ลึกลับนี้ในขณะที่เดินไปก็สังเกตว่า หากตั้งใจดู ปรากฏว่าเท้าขอองบุรุษผู้นี้ไม่ติดถึงพื้น
หลังจากนั้นพระอาจารย์บุญเดชจึงได้เป็นผู้ถามบุรุษลึกลับไปว่า “แล้วคุณล่ะ เป็นลูกของใคร” บุรุษผู้มีกายสีเขียวประดับอาภรณ์สีขาวเส้นเกศาเกล้ามวยไปทางด้านหลังเป็นรูปก้นหอย เรียนให้พระอาจารย์บุญเดชทราบ “ผมเป็นลูกคนไม่มีพ่อมีแม่” พระอาจารย์บุญเดชสงสัย “อ้าว ไม่มีพ่อไม่มีแม่เกิดมาด้วยอย่างไร” บุรุษลึกลับบอกเหตุผล “เกิดมาด้วยบุญญฤทธิ์” พระอาจารย์บุญเดชสงสัย “อ้าว แบบนี้ต้องคุยกัน”
ขณะที่นั่งอยู่บนก้อนหินนั้นซึ่งเป็นโขดหินมีความสูงเท่าเทียมกันทั้งสองแท่งพระอาจารย์บุญเดชนั่งบริเวณผลาญหิน ก็เกิดความรู้สึกว่าผลาญหินนิ่มดุจนั่งอยู่บนพรมพระอาจารย์บุญเดชก็แปลกใจตัวเอง “หรือว่าเราจะเป็นบ้าหรือ บ๊ะ สติสตังเราก็ดีสมบูรณ์หรือจะเป็นเพราะเราอดอาหารมากจนตาลายหรือเปล่าหนอ” ขณะนั่งบนผลาญหินพระอาจารย์บุญเดชก็ได้สัมผัสกับกลิ่นหอมฟุ้งขจรทั่วอาณาบริเวณ ก็ปรากฏว่าจิตเกิดความสว่างไสว จิตพระอาจารย์บุญเดชเห็นคล้ายแสงสว่าง (คล้ายฝนดาวตก) ลอยลงมาโดยรอบบริเวณที่นั่งบุรุษลึกลับ มองเห็นเป็นพวกเทพเทวดาล้วนเป็นผู้หญิงเต็มไปหมด บุรุษลึกลับทักพระอาจารย์บุญเดช “อ้าว ท่านอย่าเพิ่งหลับตาคุยกันก่อน” จิตสมาธิพระอาจารย์บุญเดชขณะนั้นจิตมีความสว่างไสวกำหนดจิตปั๊ป จะทราบทันทีใครจะไปจะมารู้เห็นหมด เทพ เทวดา นาค พรหม ใครจะมาก็ทราบก็เห็น ถึงจะไม่หลับตาเมื่อกำหนดจิตเป็นสมาธิก็สามารถเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน บุรุษลึกลับผู้นั้นก็ยังไม่ได้เผยตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร สนทนากับบุรุษลึกลับไปในเรื่องราวต่างๆ พระอาจารย์บุญเดชไม่มีความหิวกระหายแต่อย่างใด รู้สึกอิ่มเอิบ ได้สัมผัสกลิ่นหอมอยู่ตลอดเวลา
ขณะกำหนดจิตดูก็เห็นแต่พวกเทพเทวดาอันเป็นบริวารของบุรุษผู้ลึกลับท่านนี้มีจำนวนมากมายนับเป็นพันๆองค์ ล้วนเต็มไปด้วยเทพธิดาทั้งสิ้น แต่ละนางมีหน้าตาอ่อนเยาว์แฉล้มแช่มช้อยอิ่มเอิบ หากจะเทียบกับสาวงามในเมืองมนุษย์ เห็นที่จะมีอายุประมาณ ๑๗ ปี กำลังสาวสะพรั่งแรกแย้มในขณะที่พระอาจารย์บุญเดชกำหนดดูพวกเทพธิดา ก็เห็นแต่ละนางมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด แต่แปลกตรงที่ว่าแสงรัศมีของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน บางตนก็มีแสงสว่างมาก บางตนก็แสงสว่างรัศมีน้อย เป็นแสงรัศมีลดหลั่นกันลงไปตามแต่บุญบารมีของแต่ละตนที่สั่งสมไว้
จากนั้นพระอาจารย์บุญเดชจึงลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นเหล่าเทพธิดานั้น แต่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวนที่โชยออกมา พอลืมตาก็เห็นบุรุษลึกลับนั่งอยู่ตรงหน้าเช่นเดิม “ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่นี้เกิดมาได้แบบไหน” พระอาจารย์บุญเดชถาม บุรุษลึกลับตอบกลับว่า “บุญที่สร้างมา” พระอาจารย์บุญเดชซักถามต่อ “ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย” บุรุษลึกลับกราบเรียน “ยกตัวอย่างพระคุณเจ้าเกิดมาในศาสนานี้ พระคุณเจ้ามีอุปัชฌาย์ใช่ไหม” พระอาจารย์บุญเดชตอบ “ใช่” บุรุษลึกลับถาม “มีอาจารย์ใช่ไหม” พระอาจารย์บุญเดชตอบ “มี” บุรุษลึกลับเรียนต่อไป “แล้วที่พระคุณเจ้าได้บวชนี้เป็นเพราะบุญเก่าใช่ไหม”
พระอาจารย์บุญเดชตอบ “ใช่” เป็นทั้งบุญบารมีเก่าและบาปบุญใหม่ด้วย จึงมีวาสนาได้บวช บุรุษลึกลับชี้แจง “นี่เขาเรียกได้ว่าเนื้อนาบุญ” นี่คนธรรมดาชาวโลกเขาเรียกว่าเราประพฤติปฏิบัติให้เป็นเนื้อนาบุญอันนี้เป็นต้น ผมเคยเป็นมนุษย์ผมก็สร้างสมบารมีส่วนหนึ่งแล้วผมก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้ทันพระพุทธองค์ เคยสร้างบารมีร่วมกับพระพุทธองค์ ได้ฟังเทศน์ของพระพุทธองค์อยู่บนสรวงสวรรค์ พระอาจารย์บุญเดชสงสัยยิ่งหนัก ซักถามต่อไป “อุบาสกเอ๊ย นี่ได้บุญอะไร ได้อภิญญา ชั้นใด” บุรุษลึกลับตอบ “กระผมได้อภิญญา ๘” อภิญญา ๘ นี้ไม่ใช่อภิญญาชองบุคคลธรรมดาสามัญ
ภายหลังจากนั้นพระอาจารย์บุญเดชกับบุรุษลึกลับได้ซักถามสนทนาในเรื่องราวต่างๆ ต่อกันจนลืมวันลืมคืนผ่านพ้นไป หลังจากนั้นบุรุษลึกลับได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์บุญเดช การบำเพ็ญภูมิจิตสู่ภูมิพระโสดาบัน “บุคคลที่ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จะได้เป็นพระโสดาบันใช่ไหม” พระอาจารย์บุญเดชจึงตอบให้ทราบว่า “แต่ถ้าจะตัดจริงๆ ได้นั้นอาจารย์ของอาตมาเป็นลูกศิษย์ของ
หลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ท่านกล่าวว่าการเข้าสู่ภูมิโสดาบันจะต้องละโทสะได้ด้วย จึงจะเข้าสู่ภูมิโสดาบันได้อย่างเด็ดขาด ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นเพียงตัวบาลีเฉยๆ แต่ถ้าจริงแล้ว จิตจะบรรลุภูมิโสดาบันได้ จิตจะต้องตัดโทสะได้ด้วย มิใช่เพียงให้เบาบาง ต้องตัดให้ขาดจากจิตเลย เข้าภูมิโสดาบันได้เลย ถ้าตัดตัวโทสะไม่ได้ก็เข้าไม่ได้”
บุรุษลึกลับได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่สนทนาธรรมกับพระอาจารย์บุญเดชก็ได้กล่าว “โอ้เป็นญาคู พระวัยหนุ่มที่ไม่ธรรมดา เป็นวัยที่น่าเกรงขาม” บุรุษลึกลับได้บอกกับพระอาจารย์บุญเดชให้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีตของตน ภูมิหลังของตนให้ทราบว่า “ผมสร้างบุญกุศลเพื่อปรารถนาจะได้เป็นพระอินทร์ และผมในสมัยเป็นมนุษย์ก็เคยเกิดทันพระสมณโคดม สมัยบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์แล้วได้มาจุติเป็นพระอินทร์ ผมจะเป็นพระอินทร์อยู่ในศาสนานี้จนกนะทั่งถึงศาสนาขององค์พระโพธิสัตว์องค์ใหม่ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าคือ พระศรีอาริยเมตไตรผมจะลงไปฟังธรรมแล้วจะบรรลุธรรมเข้านิพพานเลย ส่วนบุคคลที่จะมาต่อรอเป็นพระอินทร์ต่อจากผมก็มีแล้ว อานิสงค์ที่ผมสร้างไว้บุญกุศลทุกอย่างที่ได้บำเพ็ญผมก็ปรารถนาเป็นพระอินทร์อย่างเดียว ในศาสนานี้พระคุณเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เพราะมีเทพรักษาพระศาสนาเหมือนกันนาค ครุฑ มนุษย์ อินทร์ พรหม รับรู้หมดใครทำดีใครทำชั่วในพระศาสนานี้ก็คือ ญาคูได้เห็นนั่นแหละ (บุรุษผู้นี้ทราบว่า พระอาจารย์บุญเดชเคยไปเยือนนรกภูมิมาแล้ว) นั่นแหละทำไม่ดีก็ตกนรกแบบนั้นแหละ”
พระอาจารย์บุญเดชสนทนากับบุรุษลึกลับเป็นเวลานานข้ามวันข้ามคืนจึงได้เอ่ยถามชื่อบุรุษว่า “ท่านล่ะมีชื่อว่าอะไร” บุรุษลึกลับตอบให้ทราบว่า “ผมชื่อว่าจักรินทร์” สนทนาจวนเข้าใจรู้ความหมายในการพบกันครั้งนี้ เป็นเวลาไม่ทราบผ่านไปกี่วันกี่คืน
ในที่สุดบุรุษผู้ลึกลับนั้นจึงกราบลาพระอาจารย์บุญเดชแล้วลุกเดินหายวับลับสายตาไป ต่อมาพระอาจารย์บุญเดชจึงได้มาดูเวลาก็ทราบว่า กาลเวลาผ่านไปนานถึง ๓ วัน ๓ คืน ครั้นพอเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง พระอาจารย์บุญเดชเปิดไปก็ไปพบชื่อพระอินทร์ในหนังสือเล่มนั้นมีนามว่าจักรินทร์เทวราช
พระอาจารย์จึงได้ทราบและเข้าใจว่าเวลาที่ผ่านไป ขณะสนทนากับบุรุษนั้นที่จริงคือพระอินทร์นั่นเองในหนังสือเล่มนั้นบอกว่า พระอินทร์นั้นมีอภิญญา ๘ เหมือนที่บุรุษบอกไว้ทุกประการ พระอาจารย์จึงได้ทราบว่า บุคคลที่ตนได้คุยด้วยกันคือ พระอินทร์นามจักรินทร์เทวราชผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์