พระอาจารย์บุญเดช กล่าวให้ทราบถึงการหยั่งทราบวาระจิตผู้อื่นแจโต ปริญญาณ) ให้ได้ทราบ “บุญใครบุญมัน บารมีแต่ละรูปแต่ละนามไม่เหมือนกัน ถึงจะเก่งเป็นพระอรหันต์ไม่ทราบวาระจิตก็มี บารมีใครบารมีมัน” การสร้างฤทธิ์เดชอภิญญาของพระอาจารย์บุญเดชท่านกล่าวถึงมูลเหตุ ที่จะได้รับถึงมูลกรรมในอดีตชาติให้ทราบ
“นับตั้งแต่อธิษฐานมานี้อยากได้ตัวนี้มาไม่ใช่น้อยๆ ชาติ สร้างบารมีมาเพื่ออยากได้ตัวนี้ (อภิญญา)” พระอาจารย์บุญเดชกล่าวให้ทราบต่อไปว่า “คือคนอยาก กินก๋วยเตี๋ยว เราก็ต้องไปซื้อ อยู่นี่ก๋วยเตี๋ยวไม่มีขาย เราก็ต้องไปซื้อกว่าจะได้ก็ใช้เวลานานมากแล้ว ต้องมีการเดินทาง เราต้องมีทุนทรัพย์ด้วย คือคนไม่มีเงินเราจะเอาอะไรซื้อก๋วยเตี๋ยว เราถึงจะได้กินก๋วยเตี๋ยวนี่แหละใช่ไหมล่ะ เราต้องหาเงินก่อนถึงจะ มีเงินไปซื้อก๋วยเตี๋ยว สมมุติเรื่องอย่างนี้เป็นเพชรใช่ไหมล่ะเป็นราคาล้านเราก็ต้องหา ถึงจะได้เงินล้าน จึงจะไปซื้อได้ นี่คือกันสร้างบารมีมาหลายภพหลายชาติแล้ว สร้างมาด้านนี้เฉพาะพระอรหันด์ก็เช่นกันจะให้รู้เช่นนี้อย่างเดียวกันก็ไม่ได้ความหลุดพ้น (หมดกิเลส) มีความสุขเช่นกัน”
ในครั้งนั้นพระอาจารย์บุญเดช ได้มีโอกาสเดินทางโดยอาศัยเครื่องบิน เป็นยานพาหนะเพื่อไปจังหวัดภูเก็ต โดยเดินทางจากตอนเมืองเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินภูเก็ตในเครื่องบินลำที่พระอาจารย์บุญเดชโดยสารไปนั้น มีผู้โดยสารทั้งที่เป็นขาวไทย และขาวต่างประเทศเพื่อไปท่องเที่ยวชมทัศนียภาพอันสวยงามของเกาะภูเก็ต เครื่องบินลอยอยู่กลางเวหาจนมาถึงรันเวย์ท่าอากาศยานภูเก็ต ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยลงจากตัวเครื่องบิน เนื่องจากพระอาจารย์บุญเดชเป็นพระภิกษุสงฆ์จึงต้องระมัดระวังสำรวมเป็นอย่างยิ่ง ต้องอยู่ในกิริยามารยาทให้เหมาะสมกับที่เป็นพุทธบุตร ท่านจึงระมัดระวังไม่ลูกออกไปเพราะเกรงจะไปชนกับญาติโยม ต้องรอให้ญาติโยมที่โดยสารมาบนเครื่องบินลำนั้นทยอยลงไปให้หมดเสียก่อน จึงจะลงจากเครื่อง ผู้โดยสารคนแล้วคนเล่าก็เดินลงบันไดสู่พื้นดิน
ขณะนั้นบนเครื่องบินพระอาจารย์บุญเดชกำลังเตรียมตัวลงจากเครื่อง ก็ได้มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งยืนสนทนากันเป็นภาษาต่างชาติ แต่บทสนทนาได้พูดเกี่ยวถึงท่านพระอาจารย์บุญเดชซึ่งนุ่งห่มจีวรขาดๆ เก่าๆ โดยสังเกตได้จากที่คนต่างชาติกลุ่มนั้นได้ชี้มือชี้ไม้มาที่พระอาจารย์บุญเดช พระอาจารย์บุญเดชก็เกิดความแปลกใจว่าคน ต่างชาติกลุ่มนี้กล่าวถึงท่านว่าอย่างไร ท่านจึงกำหนดจิตขณะนั้นเพื่อหยั่งทราบถึง
บทสนทนา เป็นการรับรู้ทางภาษาจิต พระอาจารย์บุญเดชได้ทราบความหมายของชาวต่างชาตินั้นมีใจความว่า “ดูที่คนนั้นสิแต่งตัวเท่ห์เหลือเกิน เราต้องหาชุดอย่างนี้มาใส่ได้บ้าง ไปหาซื้อที่ไหนหนอ หัวก็โล้น เท่ห์เหลือเกิน เราต้องหาชุดอย่างนี้มาใส่ให้เหมือนกับเขาให้ได้”
พระอาจารย์บุญเดชได้ทราบทางจิตถึงภาษาของชาวต่างชาติกลุ่มนั้นก็นึกขำอยู่ในใจ “มันช่างไม่รู้อะไรเสียเลยว่าเราเป็นอะไร (พระภิกษุสงฆ์)” และเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาตินั้นเป็นบาปเป็นกรรม ท่านจึงได้หันไปบอกกับคนไทยคนหนึ่งที่โดยสารมาด้วยให้ไปบอกกับคนกลุ่มนั้น หนุ่มไทยผู้นั้นจึงได้เดินเข้าไปหาชาวต่างชาติ และได้ส่งภาษาต่างประเทศ ดังที่พระอาจารย์บุญเตชแนะนำไปว่า “ไม่ได้นะ พวกคุณคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ตำรวจจับนะ ชุดนี้มีใช่เป็นชุดทั่วไปเป็นชุดสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาใช้สำหรับนุ่งห่มเท่านั้น พวกท่านจะไปหาชื่อใส่เองไม่ได้ผิดกฎหมายของประเทศไทย ตำรวจจับ”
เมื่อชาวต่างชาติได้ทราบและเข้าใจเหตุที่ท่านต้องแต่งกายแบบนี้ เพราะเป็นพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้ให้พระภิกษุสงฆ์นุ่งห่ม จึงได้ล้มเลิกความคิดนั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่จู่ๆ คนกลุ่มนั้นพูดภาษาของเขาแต่พระอาจารย์บุญเดชท่านไม่สามารถพูดภาษาต่างประเทศอื่นๆ ได้ ยกเว้นเพียงภาษาต่างประเทศภาษาเดียวที่ท่านสามารถฟังและพูดเข้าใจความหมายได้อย่างดีเยี่ยม ก็คือภาษาของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือพูดแบบภาษาเราๆ ก็คือภาษาลาวนั่นเอง เป็นที่น่าแปลกใจเหตุไฉนท่านจึงสามารถเข้าใจบทสนทนาของชาว ต่างชาติที่กล่าวถึงท่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เป็นด้วยการรับทราบทางภาษาจิตซึ่งเป็นภาษาของสากลโลก มิใช่เป็นภาษาของประเทศใดประเทศหนึ่ง ภาษาจิตเป็นภาษากลางที่สื่อความหมายถึงผู้คนทุกคนในโลกนี้ได้ไม่มีการแบ่งแยกดินแดนประเทศทวีปแต่ประการใดภาษาจิตคือภาษาใจที่มีความหมาย และเข้าใจอยู่ในตัวของมันเอง